เสียงตะโกนดัง ๆ ในใจดีเวลอปเปอร์ มาตรการรัฐ ดึงต่างชาติมั่งคั่ง-วัคซีน-โควิด

120 วันที่แล้วรัฐบาลประกาศคืนความสุขให้คนไทยด้วยนโยบายเปิดประเทศพลิกฟื้นเศรษฐกิจจากโควิด

ไทม์ไลน์ที่ประกาศไว้จะมาบรรจบในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2564 นี้ แต่สถานการณ์จริงในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนย่างเข้าไตรมาส 4/64 ยังไม่มีอะไรที่เคลียร์คัตชัดเจนจากรัฐบาลว่าจะเปิดประเทศเมื่อใดกันแน่

ในระหว่างนี้เพิ่งมีมติคณะรัฐมนตรี 14 กันยายน 2564 เห็นชอบมาตรการดึงดูดลูกค้าต่างชาติมั่งคั่ง 1 ล้านคนเข้ามาพักอาศัยระยะยาวในประเทศไทย

“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษผู้บริหารวงการอสังหาริมทรัพย์ 6 ราย ด้วยคำถามพื้นฐานในช่วงเริ่มต้นมาตรการใหม่ของรัฐบาล ประเมินปัจจัยบวกปัจจัยลบ การปรับกลยุทธ์รองรับโอกาสทางธุรกิจ รวมทั้งข้อเสนอแนะที่มีต่อรัฐบาล

“วรยุทธ กิตติอุดม” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RK Group

ชาวต่างชาติที่มาลงทุนในไทยไม่ว่าจะเป็นในนิคมอุตสาหกรรม หรือพื้นที่ CBD ของกรุงเทพฯ และ EEC ถือว่าได้อานิสงส์จากมาตรการนี้มาช่วยกระตุ้นได้เยอะ ในช่วงนี้เรายังไม่รู้ว่าโควิดจะหมดไปเมื่อไหร่ ฉะนั้น เวลาไปต่ออายุก็จะสะดวกมากขึ้นถ้ามีอายุที่ยาวมากขึ้น

Advertisment

ถ้ามีมาตรการนี้ก็เป็นตัวช่วย แต่มาตรการอื่น ๆ ก็คงจะต้องออกมาให้ต่อเนื่องและสอดคล้องกันไปในเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ ก่อนหน้านี้มีเรื่องโควตาซื้อคอนโดมิเนียม 49% และการให้ต่างชาติถือครองบ้านแนวราบ

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องความมั่นคงก็ต้องไปดูเรื่องกฎหมายอีกทีหนึ่งว่าจะมีมาตราไหนที่ช่วยยกเว้นหรือจำกัดระยะเวลา เช่น ถือครอง 50% ได้ แต่ไม่เกิน 5 ปี หรือ 10 ปี

Advertisment

เรื่องนี้เป็นสัญญาณที่ดี เพราะจริง ๆ แล้วต่างชาติที่ถือครองโดยแต่งงานกับคนไทยก็มีค่อนข้างเยอะ ในความเป็นจริงต่อให้กฎหมายควบคุมขนาดไหน สภาพความเป็นจริงแตกต่างกัน ถ้าเราทำให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงโดยการอัพเกรดกฎหมายขึ้นมาใหม่เพื่อให้ถูกต้องและเหมาะสมมากขึ้น จะช่วยกระตุ้นได้มากขึ้นอีก

สำหรับปัจจัยบวกต่ออสังหาฯ ชาวต่างชาติมีความสนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เรื่องของวัคซีน การควบคุมโควิด ถ้าต่างชาติเข้ามาในเมืองไทยแล้วติดโควิด โรงพยาบาลที่สามารถรับชาวต่างชาติเข้ารักษามีมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีพื้นที่ในการรักษาที่ครอบคลุมผมคิดว่าจะทำให้การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นได้เร็วมากขึ้น

ส่วนคำถามผลรูปธรรมนั้น มาตรการรัฐน่าจะช่วยได้เร็วถ้าทุกภาคส่วนร่วมมือกันสนับสนุน คิดว่าภายใน 6 เดือนอาจเห็นผล ไม่ต้องรอ 2-3 ปี ต้องขึ้นกับสถานการณ์โควิดด้วย ถ้าควบคุมได้ดีไม่มีผู้ติดเชื้อมากขึ้น ยิ่งทำได้เร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งสร้างความเชื่อมั่น การฟื้นตัวก็จะกลับมาได้เร็ว

ส่วนการให้วีซ่า 10 ปีดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไปจำกัดแค่ว่าต้องซื้อบ้านในราคา 10 ล้านบาท อาจจำกัดเฉพาะกลุ่มเกินไป ตอนนี้อสังหาฯในไทยราคาถูกมากและมีปริมาณที่ค่อนข้างเยอะ ถ้ามีการดูดซับจากชาวต่างชาติออกไปยิ่งเยอะและเร็วเท่าไหร่ยิ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจขึ้นมาได้เร็วมากขึ้น

เพราะอสังหาฯเป็นกลไกหนึ่งที่กระตุ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจตลอดเวลาที่ผ่านมา ถ้าเราไม่จำกัดกรอบตรงนี้คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯหรือเมืองท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากก็จะถูก absorb ดีและเร็วขึ้น

“ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)

ก็ดีนะ แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากน้อยขนาดไหน สิ่งที่รัฐบาลทำคือพยายามทำให้ regulation ต่างชาติมาเมืองไทยง่ายขึ้น ซึ่งอันนี้ก็ไม่ได้แย่อยู่แล้ว แต่เอฟเฟ็กต์ที่จะเกิดขึ้น 100% ต้องมาจากหลายด้าน เช่น ประเทศเราพร้อมเปิดไหม

แต่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องนี้เรื่องเดียว ผลออกมาดีไม่ดีขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ การขายอสังหาฯคือการส่งออกอย่างหนึ่ง เพียงแต่เป็นการส่งออกที่อยู่อาศัย ขึ้นอยู่กับว่าสินค้าของเรา competitive หรือเปล่าเทียบกับสินค้าของคนอื่นในโลก และขึ้นอยู่กับคนซื้อมีเงินหรือเปล่า

ดังนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ว่าเราให้ regulation นี้แล้วทุกอย่างต้องดี ขึ้นอยู่กับว่าประเทศอื่นให้ regulation ที่ดีกว่าหรือเปล่าด้วย

ถามว่าเป็นบวกขนาดไหนก็ต้องรอดูต่อไป เพราะตอนนี้ประเทศไทยไม่ได้ถูกขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่น่าอยู่ในเชิงของเฮลท์มากนัก ดังนั้น อาจจะไม่ได้เร็วมาก ถ้าสมมุติว่าเรากลับไปในช่วงที่คนอยากมาประเทศไทย แล้วเราใส่แพ็กเกจนี้เข้าไปด้วยก็อาจจะเห็นผลชัดกว่า

ประเด็นการให้วีซ่าต่างชาติ 10 ปี คำถามคือดีเวลอปเปอร์ไทยจะทำยังไงให้ลูกค้าต่างชาติอยากเป็นเจ้าของ asset ในเมืองไทยก่อน เขาไม่ได้ซื้อตึกกับปูนที่ดีเวลอปเปอร์สร้าง เขาซื้อ culture เมืองไทย เขาซื้อ environment เมืองไทย ซื้อความปลอดภัยที่อยู่ในเมืองไทย

ส่วนนโยบายเปิดประเทศขึ้นอยู่กับว่าเปิดแล้วปิดอีกหรือเปล่า คิดว่า regulation กับ trust ไม่ได้มาด้วยกันตั้งแต่ช่วงที่ไม่ดีรัฐบาลเคยบอกเราไหมว่าเราจะแย่ ก็เห็นบอกว่าดีตลอด เอาอยู่ตลอด ก็เหมือนกับที่บอกจะเปิดประเทศ แต่ถามว่าเรา trust ขนาดไหน

แล้ว trust เป็นสิ่งที่ใช้เวลาในการสร้างนานแต่ทำลายด้วยความรวดเร็ว ตอนนี้ก็เลยรู้สึกว่ารอดูความจริงดีกว่าว่าจะออกมาแล้วเป็นยังไง

ข้อเสนอแนะรัฐบาล ทำยังไงให้ประหยัดที่สุด tax หรือ incentive ทำยังไงให้เขาอยากมา เหมือนกับเราบอกว่าจะซื้อทีวีแถมรีโมตเพิ่มเป็น 2 อัน แต่มันไม่ได้ทำให้เรามีเงินซื้อทีวี วันนี้ที่ต้องทำคือทำยังไงให้มีเงินซื้อทีวี ทำยังไงให้ชาวต่างชาติอยากมาไทย

เพราะไม่มีใครอยากมาประเทศที่กลับบ้านไปแล้วต้องมากลุ้มใจกลัวติดโควิดหรอก จะออกโปรโมชั่นอะไรมาก็ตาม ถ้าไม่ทำให้เขาอยากมาก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้น ข้อเสนอคือให้รัฐบาลแก้ปัญหาหลักก่อน

“ธงชัย บุศราพันธ์” ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)

เป็นเรื่องที่ดีครับ ให้ผลบวกกับเศรษฐกิจไทย แล้วที่จะมีการพิจารณาให้ซื้อที่ดินด้วยอันนั้นก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ตัวนโยบายถ้าเป็นรูปธรรมจะทำให้ขายง่ายขึ้น เพราะตลาดกว้างขึ้น มีดีมานด์เยอะขึ้น

ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาก็มีชาวต่างชาติหลายคนที่อยากมาถือครองที่ดินในประเทศไทยแต่ก็ไม่เคยทำได้ ตอนนี้ก็เป็นโอกาสดี

มาตรการใหม่น่าจะมีผลในเชิงบวกค่อนข้างเยอะ ที่ผ่านมาการที่ไม่สามารถเดินทางเข้ามาได้ทำให้กระบวนการในการขายตลาดต่างชาติค่อนข้างลำบาก ก็มีหลายคนรออยู่ว่าถ้าเราเปิดเมืองเมื่อไหร่เขาจะรีบเดินทางมา แล้วถ้ามีแพ็กเกจตัวนี้ด้วยก็ยิ่งดี

แต่ผมไม่แน่ใจว่ากระบวนการในการแก้ไขกฎหมายของเราจะใช้เวลานานแค่ไหน

สำหรับการปรับแผนธุรกิจรองรับนั้น จริง ๆ สอดคล้องกับแผนเดิมที่เราทำอยู่แล้ว ตอนนี้มีการทำโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น เดิมแนวราบเราก็มุ่งเน้นที่ขายเฉพาะลูกค้าในประเทศ แต่ถ้าขายต่างประเทศได้ด้วยก็น่าจะเป็นอานิสงส์ที่ดี เพราะโนเบิลฯเป็น market leader ในเรื่องตลาดต่างชาติอยู่แล้ว

โดยพอร์ตพัฒนาโครงการในปี 2565 น่าจะเพิ่มแนวราบเป็น 30% คอนโดฯ 70% เทียบกับแต่ก่อนคอนโดฯ 95% แนวราบ 5% ตอนนี้สถานการณ์โควิดทำให้แนวราบมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย ซึ่งลงทุนแนวราบเพิ่มเข้ามาค่อนข้างง่าย

อย่างไรก็ตาม เราคงเปิดคนเดียวไม่ได้ ประเทศที่เป็นคู่ค้ากับเราก็ต้องเปิดด้วย เพราะฉะนั้น อาจจะต้องเจาะพิเศษทำเป็น bubble route เช่น เราคู่กับจีนหรือที่ไหนเขาก็ต้องเข้าใจสถานการณ์บ้านเราประมาณหนึ่งเหมือนกันว่า บ้านเราปลอดภัยแล้ว ตรงนั้นจะช่วยทำให้เปิดได้ทั้งสองฝั่ง และคนก็จะเดินทางได้

อย่างกรุงเทพฯแซนด์บอกซ์ หรือภูเก็ตแซนด์บอกซ์ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้คนที่เข้ามาแล้วไม่ต้องถูกกักตัว สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ แต่ก็คงต้องดูเรื่องของระยะเวลาด้วย อย่างเช่น 14 วัน ผมก็มองว่าหลายประเทศเขาทำแค่ 10 วันเท่านั้นเอง แล้วค่าใช้จ่ายในการตรวจก็ยังเป็นประเด็นอยู่เพราะมันค่อนข้างแพง

ข้อเสนอแนะของผมอยากจะให้ทำให้เร็ว วันนี้คิดได้รีบทำแล้วกัน สปีดสำคัญที่สุด ถ้าสมมุติทันก่อนตรุษจีนก็น่าจะโอเค เพราะผมคิดว่าปี 2565 คนน่าจะเริ่มเดินทางกันได้

“อธิป พีชานนท์” นายกกิตติมศักดิ์สมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร

ดีครับ จริง ๆ เรื่องนี้เราคุยกันมาระยะหนึ่งแล้วประมาณ 1 ปี แต่ตอนนั้นผมเข้าใจว่าเรื่องนี้ที่มีการนำเสนอยังไม่ได้ถูกรับพิจารณา เพราะตอนนั้น (รัฐบาล) อาจมองว่าสถานการณ์ยังไม่ค่อยแย่ลง แต่ทีนี้พอต่างชาติหายไปจริง ๆ หายไปหมด

คนที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์จำนวนหนึ่งก็ไม่มาโอนกรรมสิทธิ์ก็มี เป็นตัวพิสูจน์ว่าความรุนแรงของโควิดตอนนี้ถือว่าค่อนข้างที่จะถลำพอสมควรแล้ว

การออกมาตรการนี้ถ้าออกประมาณปีที่แล้วหรือต้นปีนี้ก็ยังดี น่าจะช่วยทำให้ความน่าสนใจมาก เพราะตอนนั้นสถานการณ์โควิดยังไม่รุนแรง และเราเป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องด้วยซ้ำไปว่าเราดูแลโควิดได้ดี หลายประเทศก็เห็นว่าการจัดการของเราดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

ถ้าการเปิดเมืองไม่ต้องมีเงื่อนไขมากมายนัก และคนต่างชาติก็ทยอยเข้ามาได้จำนวนมาก มาตรการที่ทำให้คนต่างชาติมีความรู้สึกว่าอยากมาซื้ออสังหาริมทรัพย์และได้วีซ่า 10 ปี ก็เป็นมาตรการที่น่าสนใจ แต่ก็ต้องรอดูสภาพการเปิดเมืองว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน

ตอนนี้จำนวนผู้ติดเชื้อกับผู้เสียชีวิตยังไม่ค่อยลดลงมากนัก ยังติดเชื้อเป็นหลักหมื่นอยู่ทุกวัน มีคนเสียชีวิต 100-200 คนทุกวัน ถ้าเทียบกับประเทศอื่นตอนนี้เขาเริ่มดีขึ้น ก็ต้องรอดูว่าที่บอกว่าจะเปิดเมืองในเดือนตุลาคมจะเป็นอย่างไร

เพราะถ้าเราออกแคมเปญแบบนี้แต่เราไม่สามารถเปิดเมืองได้ ถึงออกไปความร้อนแรงหรือความน่าสนใจก็คงจะเป็นไปไม่ได้มาก

ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลนั้น ผมอ่านมติ ครม.แล้วยังไม่มีรายละเอียด อยากเสนอว่าอย่าทำอะไรที่มันตึงเกินไป ถ้าให้ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ก็คือซื้อยังไงก็ได้ หรือเช่าระยะยาวก็ได้

แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นชิ้นเดียว อาจซื้อ 2-3 ยูนิต อยู่คนละที่กัน มารวมกันแล้วได้มูลค่าตามที่รัฐบาลกำหนดก็น่าจะโอเค ไม่ใช่ว่าต้องเป็นชิ้นเดียว

และผมอยากให้มีแพ็กเกจย่อมลงมาหน่อยเพื่อให้นักลงทุนต่างชาติบางกลุ่มเขาก็ตัดสินใจ ถ้า 10 ล้านบาทบางคนอาจมีความรู้สึกว่าเยอะไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเงินแต่เขาอาจมองว่าต้องการกระจายความเสี่ยง อาจซื้อในประเทศไทย 5 ล้านบาท ซื้อที่ประเทศอื่นอีก 5 ล้านบาท

เขาก็ยังได้กระจายความเสี่ยงไป เราอย่าไปลิมิตว่า 10 ล้านบาทอย่างเดียว เพราะอาจมีจำนวนน้อย

“พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์” นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย

มาตรการใหม่ดึงดูดต่างชาติมั่งคั่ง…อันนี้ยังไม่ตอบ เพราะการทำแบบนี้คือไปศึกษาและร่างมา แต่สุดท้ายต้องไปแก้ พ.ร.บ.อาคารชุด พอแก้ พ.ร.บ.อาคารชุดก็ต้องเข้าสภา ซึ่งถ้าเข้าสภาตอนนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) กำลังวุ่นวายแบบนี้ไม่เข้าในรัฐบาลนี้หรอก

มันก็แค่เป็นการศึกษา เวลาแก้กฎหมายต้องแก้ผ่านรัฐสภา แก้ พ.ร.บ.ต้องมีฝ่ายนิติบัญญัตินำเสนอ แล้วก็ต้องถกกันในสภา ซึ่งการแก้กฎหมายตรงนี้คงไม่ใช่ประเด็นสำหรับก่อนเลือกตั้งใหม่ (รอ) อีกยาว

ถ้าเข้าไปฝ่ายค้านก็เตรียมรอไว้แล้วว่าขายชาติ ก็ตีข่าวว่าจะให้ต่างชาติยึดแล้ว คนจีนจะมายึดเมืองไทยแล้ว ตีความเป็นทางลบไปหมดแล้วล่ะ ซึ่งเขาก็ต้องประเมินว่าทำตอนที่คะแนนเสียงของนายกฯก้ำกึ่งแบบนี้หรือเปล่า ถ้าแก้กฎหมายแล้วโหวตแพ้มีสิทธิต้องยุบสภาอีก ซึ่งเขาคงไม่เสี่ยงทำตอนนี้หรอก อันนี้ตามที่ประเมินก็เลยยังไม่อยากให้สัมภาษณ์

ถ้าทำแล้วจะเป็นการระบายสต๊อกค้างอยู่ของตลาดคอนโดฯมันก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว เพราะตอนนี้ขายไม่ได้เหลือสต๊อกเยอะ คอนโดฯน็อกมาแล้ว 2 ปี โครงการใหม่ก็ไม่ค่อยออก (เปิดใหม่) ถ้าออกก็ราคาถูกซึ่งไม่ใช่ต่างชาติซื้อ

ดีมานด์อสังหาฯยังมีอยู่ตลอด ไม่ซื้อคอนโดฯก็ไปซื้อบ้าน หลายคนก็ไปซื้อแนวราบ เพราะฉะนั้น บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯก็แห่ไปทำแนวราบหมด แต่ตอนนี้ที่สำคัญคือเป็นคอขวดปัญหารายย่อยกู้ไม่ผ่าน โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ราคา 2 ล้านลงมาผ่านยากมาก

การที่แบงก์ไม่อนุมัติสินเชื่อเป็นเรื่องใหญ่มาก ซึ่งลามไปถึงแนวราบแล้ว ยอดขายดีขึ้น แต่ยอดโอนไม่มีก็ตายอยู่ดี

ส่วนแนวคิดให้ปรับมาตรการลดค่าโอน…เสนอจนเบื่อแล้ว 3 สมาคมมองว่าคนที่มีกำลังซื้อคือที่อยู่อาศัยราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ได้รับผลกระทบไม่มากยังอยากมีบ้าน รัฐมองว่าถ้าไปทำเกิน 3 ล้านบาทก็ไปช่วยคนรวย

แต่ถ้าไปดูตัวเลข 3-5 ล้านคือกลุ่มใหญ่ที่สุด 50% ของตลาดรวมบ้านทั้งหมดที่ขายอยู่ ตอนนี้แบงก์เข้มงวดและออกกฎแปลก ๆ ออกมา

อสังหาฯหลายคนที่ยังพอมีทุนหรือกู้ยืมออกพันธบัตรได้ก็เลยไปทำธุรกิจอื่น เปิดโรงเรียนนานาชาติ ทำโลจิสติกส์ พลังงาน นิคมอุตสาหกรรม เฮลท์แคร์ บ้านผู้สูงวัย เพราะรู้ว่าอสังหาฯท่าทางลำบาก

“กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน)

มาตรการใหม่เป็นเรื่องที่ดี เรามีส่วนช่วยให้นักลงทุนต่างชาติเลือกประเทศที่จะเข้าไปลงทุนหรือพำนักอาศัย อย่างน้อยซื้ออสังหาฯ เห็นมีกลุ่มที่เป็นเกษียณอายุด้วย ก็เลือกมาอยู่อาศัยที่ไทย

ซึ่งการกำหนดโควตาซื้อ ปัจจุบันโควตาคอนโดฯ 49% เราทำมาหลายปี อาจเป็นในบางโซนที่มีดีมานด์ของคนต่างชาติ ถ้าคิดว่าใครเป็นเซ็นเตอร์ของ EEC เราก็ควรต้อนรับนักลงทุนต่างชาติ ก็อาจเพิ่มโควตามากกว่า 49% โดยทดลองเป็น step ไปก็ได้

ส่วนบ้านจัดสรรผมว่าก็เหมือนกัน เดิมไม่เคยมีเลย ลองกำหนดโควตาซื้อ 49% เหมือนคอนโดฯดูว่ามีปัญหาอะไรไหม

ประเด็นที่บางคนอาจมองว่าเป็นการขายชาตินั้น จะเรียกว่าขายชาติคงจะดูรุนแรงไป เราเป็นการขายสินค้า ในมุมมองของผมคิดว่าไม่น่าจะกระทบเรื่องความมั่นคง เป็นเรื่องของการซื้อขายกระตุ้นเศรษฐกิจ ตอนนี้เรามีวิกฤตเศรษฐกิจถ้าภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนไปได้ก็จะช่วยให้ภาคธุรกิจอื่น ๆ ขับเคลื่อนตามไปด้วย

ทั้งก่อสร้าง วัสดุ แรงงาน เฟอร์นิเจอร์ กระเบื้อง ปูนซีเมนต์ อสังหาฯ เป็นอุตสาหกรรมหลักที่เป็นต้นน้ำช่วยผลักดันอุตสาหกรรมอื่น ๆ ถึงเวลาที่ต้องมาช่วยกันคิดในมุมนี้มากกว่า

พอร์ตลูกค้าต่างชาติก่อนโควิดก็พอมีบ้าง ช่วงโควิด 1-2 ปีมานี้ก็ไม่มีนักลงทุนต่างชาติเลย เดิมมี 10% ไม่ค่อยเยอะ นโยบายที่ออกมาอาจไม่ได้แอ็กชั่นทันทีก็ได้ สุดท้ายก็ต้องดูว่าวัคซีนจะมาเมื่อไหร่ ฉีดได้ครอบคลุมเมื่อไหร่ จะเปิดการบินเมื่อไหร่ อาจจะไม่ได้แอ็กชั่นปี 2564 นี้ด้วยซ้ำ

แต่รีบอนุมัติออกมาก่อนและเตรียมการกันก่อนตั้งแต่เนิ่น ๆ เป็นเรื่องที่ดี เมื่อมีวัคซีน เปิดให้บินเข้าประเทศได้ ต่างชาติเดินทางเข้ามาได้ ก็จะได้เป็นการกระตุ้นอย่างจริงจัง

ส่วนนโยบายเปิดประเทศในเดือนตุลาคมนี้ มองว่าเป็นเรื่องความเชื่อมั่นของการเดินทาง การใช้ชีวิต รัฐบาลควรมากระตุ้นว่าควบคุมโรคได้แล้ว มีการรักษาพยาบาลที่ครอบคลุมทั่วถึงและเท่าทันเหตุการณ์ เมื่อมีความเชื่อมั่นแบบนี้จะทำให้เกิดการใช้ชีวิตอย่างปกติ เศรษฐกิจก็ขับเคลื่อนไปได้