คีย์ซักเซส “Bluekoff” ต้องไม่หยุดที่จะเรียนรู้และพัฒนา

หากกล่าวถึงแบรนด์กาแฟ “Bluekoff” นักดื่มทั่วไปน้อยคนนักที่จะรู้จัก แต่หากพูดคุยกับบรรดาเจ้าของร้านกาแฟต่าง ๆ จะรู้จักกันดี เพราะตลอดเส้นทางกว่า 19 ปีที่ผ่านมา Bluekoff ได้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกาแฟ ตั้งแต่การผลิตและจำหน่ายเมล็ดกาแฟดิบ เมล็ดกาแฟคั่วคุณภาพดี ด้วยการสรรหาแหล่งกาแฟอราบิก้าชั้นดี ในหลายพื้นที่ หลายจังหวัดมาทดลองใช้ จนในที่สุดได้ค้นพบแหล่งปลูกกาแฟคุณภาพดี จากบ้านดอยช้าง จ.เชียงราย ที่มีเอกลักษณ์ กลิ่น รสชาติ โดดเด่น ทั้งยังเปิดสอนการชงกาแฟ เพื่อให้ผู้ที่สนใจจะศึกษา หรือกำลังจะเปิดร้าน เปิดร้านอยู่แล้ว ได้ความรู้พื้นฐานอย่างถูกต้อง

ไม่เพียงเท่านี้ Bluekoff ยังจำหน่ายเครื่องชงกาแฟ เครื่องบด เครื่องปั่น และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการชงกาแฟ รวมถึงการให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับธุรกิจกาแฟ ด้วยการนำเอาประสบการณ์ตลอด 19 ปีที่ได้ดำเนินธุรกิจกาแฟมาถ่ายทอด แบ่งปันให้กับทุกคน โดยไม่มีการบังคับว่าจะต้องซื้อสินค้าจาก Bluekoff

ที่สำคัญ Bluekoff ยังเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของร้านกาแฟหลายพันร้านในประเทศไทย มาวันนี้ Bluekoff จึงเป็นหนึ่งในผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องกาแฟ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกาแฟแบบครบวงจรลำดับต้น ๆ ของไทย และความสำเร็จที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น มี “ศุภชัย ศรีวิตตาภรณ์” ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ Bluekoff เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เบื้องต้น “ศุภชัย” เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้น และที่มาของธุรกิจ Bluekoff ว่า เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 2543 หลังจากได้ทดลองวิ่งขายเมล็ดกาแฟคั่วตามคำชักชวนของเพื่อน ๆ และด้วยความชื่นชอบกาแฟเป็นต้นทุนอยู่แล้ว จึงทำให้เขาเดินหน้าทำธุรกิจจำหน่ายเมล็ดกาแฟ แม้ว่าครอบครัวจะประกอบธุรกิจเกี่ยวปั๊มน้ำมันและโรงสี

“ในช่วงนั้น ผมได้รู้จักเจ้าของเว็บไซต์ร้อยตะวัน ซึ่งเป็นเหมือนเว็บไชต์พันทิปที่มีชื่อเสียงด้านกาแฟ เพราะถ้าหากใครมีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับกาแฟสามารถเขียนมาสอบถาม หาคำตอบ โดยจะมีคนเข้าตอบ เข้ามาถกเถียงกันอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับกาแฟเป็นอย่างมากจากเว็บไซต์ร้อยตะวัน ทั้งยังมีโอกาสตอบคำถาม เขียนคอนเทนต์ให้ความรู้ด้านกาแฟในเว็บไซต์ดังกล่าวด้วย”

“และด้วยความสนใจส่วนตัว ทำให้ผมได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำเว็บไซต์ การทำตลาดบนอินเทอร์เน็ต จนในที่สุดจึงสร้างเว็บไซต์ Bluekoff ขึ้น และไม่นานต่อมาเว็บไซต์ของเราสามารถเป็นอันดับ 1 ในการค้นหาเกี่ยวกับกาแฟบนกูเกิล ซึ่งเป็นอยู่อย่างนั้นมาตลอด 10 ปี ทำให้ Bluekoff เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย”

“ในช่วงแรกของการทำธุรกิจ ผมใช้เงินทุนของตัวเอง และแม้ว่าจะล้มลุกคลุกคลานมา วิ่งหาเมล็ดกาแฟจากพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งในเชียงใหม่ เชียงราย เจอทั้งกาแฟที่ไม่ได้คุณภาพ ถูกชาวบ้านหลอก และด้วยความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจแบบเที่ยงตรง ให้ความสำคัญกับคุณภาพเป็นหลัก ในที่สุดผมจึงตัดสินใจสร้างโรงงานเองในพื้นที่บ้านดอยช้าง จ.เชียงราย เพื่อควบคุมคุณภาพเมล็ดกาแฟที่ต้องการใช้ให้ได้ 100% ด้วยการให้ความรู้เกษตรกรที่เป็นสมาชิกในโครงการกว่า 800 คน ทำให้ผู้ปลูกสามารถส่งผลกาแฟเชอรี่กาแฟที่มีคุณภาพให้กับโรงงาน ที่สำคัญ เรายังรับซื้อในราคาที่เกษตรกรพอใจ ทำให้คุณภาพชีวิตของเขาดีขึ้นอีกด้วย”

“แม้ว่าวันนี้กาแฟ Bluekoff จะเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในเรื่องของคุณภาพ และรสชาติ แต่ผมว่าสิ่งที่สำคัญสำหรับธุรกิจของเรา ไม่ใช่การทำแฟรนไชส์ หรือการขยายธุรกิจไปอย่างรวดเร็ว แต่เป็นเรื่องของการวางระบบหลังบ้านให้มีความแข็งแรง ก่อนที่จะเดินต่อไปข้างหน้า เพราะธุรกิจ Bluekoff วันนี้กว่า 95% เป็นการรับจ้างผลิตเมล็ดกาแฟในประเทศ ส่วนที่เหลืออีก 5% เป็นการส่งออกไปยังญี่ปุ่น และเกาหลี รวมถึงการเปิดร้านให้บริการในกัมพูชา และ สปป.ลาว”

“ศุภชัย” กล่าวอีกว่า ธุรกิจ Bluekoff จึงเหมือนหลังบ้านให้กับร้านกาแฟต่าง ๆ ฉะนั้นการทำแฟรนไชส์จึงเหมือนเป็นการทำลายลูกค้าที่มีอยู่ และที่สำคัญ โอกาสของการเติบโตถือว่ามีน้อยมาก เพราะวันนี้ตลาดกาแฟเติบโตเป็นอย่างมาก มีร้านกาแฟเกิดขึ้นมากมายทุกหัวถนน และจากลูกค้ากลายมาเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ ทำให้เป้าหมายของ Bluekoff มองไปยังตลาดเพื่อนบ้าน โดยคงรูปแบบธุรกิจรับจ้างผลิตเป็นหลัก

“การจะเป็นหลังบ้านที่ดีได้นั้น นอกจากคุณภาพของเมล็ดกาแฟที่สามารถสืบย้อนไปถึงกระบวนต้นน้ำของการผลิตได้แล้ว การนำเอาเทคโนโลยีการคั่ว รวมถึงวิธีการใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตกาแฟ เพื่อให้ได้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพดี ตรงกับความต้องการของลูกค้า และผู้บริโภคถือเป็นเรื่องที่สำคัญ อีกทั้งยังต้องมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ อย่างล่าสุดเราได้ออกผลิตภัณฑ์กาแฟดริป และช็อกโกแลต โดยได้ลงทุนนำเข้าเครื่องจักรจากอิตาลีเพื่อผลิตช็อกโกแลตที่มีคุณภาพออกสู่ตลาด ซึ่งคาดว่าจะเริ่มวางตลาดได้ประมาณเดือนพฤศจิกายนนี้”

“กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ผมใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้จากผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ คนในวงการ คุยกันเกือบทุกวัน เดินทางไปดูงานเรื่องกระบวนการผลิตเมล็ดกาแฟจากหลาย ๆ แห่ง ทั้งที่อินโดนีเซีย บราซิล ว่าเขาทำกันอย่างไร ตลอดจนมองทิศทางของตลาดว่าเป็นอย่างไร รวมทั้งนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้เพื่อให้ได้คุณภาพดีที่สุด ซึ่งผมมั่นใจว่าเรื่องกาแฟไม่มีใครทำอย่างเราได้ โดยเฉพาะปริมาณการผลิต ปีละ 800-1,000 ตัน รวมถึงรายได้ที่คาดว่าในปีนี้จะทะลุ 1000 ล้านบาท”

“เพราะผมเชื่อในกฎ 10,000 ชั่วโมง ของ “มัลคอล์ม แกลดเวลล์” ผู้ที่ไม่เชื่อว่าการมีพรสวรรค์จะนำไปสู่ความสำเร็จ การฝึกฝนต่างหากที่จะนำพาไปสู่ความเป็นสุดยอด ซึ่งทุกคนทุกอาชีพสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งได้ ถ้าเราเข้าไปศึกษา ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง และไม่หยุดคิด หยุดพัฒนา ไม่ใช่บอกว่าเราดีแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว ตรงนี้จะทำให้เราหยุดคิด หยุดพัฒนาสิ่งต่าง ๆ จนทำให้คู่แข่ง หรือคนข้างหลังไล่จี้ หรือแซงขึ้นมาได้”

ถึงตรงนี้ “ศุภชัย” บอกว่า การบริการตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันนี้ บอกได้เลยว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว เพราะวันนี้คู่แข่งขันทางธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ลูกค้ากลายมาเป็นคู่แข่ง สุดท้ายแล้วความแข็งแกร่งจะพิสูจน์ได้ในเรื่องของคุณภาพ ความเที่ยงตรง และการเป็นหลังบ้านที่ดี จะเป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจของ Bluekoff อยู่รอดได้

“เป้าหมายต่อไปสำหรับผม คือ ถ้าคนพูดถึงเรื่องเมล็ดกาแฟ องค์ความรู้เกี่ยวกับการทำกาแฟ ตลอดจนเครื่องชง เครื่องบดต่าง ๆ จะนึกถึงเรา แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้เป็นที่ 1 แต่เชื่อว่า Bluekoff

จะเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ เพราะวันนี้โอกาสของธุรกิจยังมีอยู่มากมาย เพียงแต่เราต้องไม่หยุดคิด ไม่หยุดศึกษา เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า และผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง”

อันเป็นสิ่งที่ “ศุภชัย” กล่าวย้ำอย่างหนักแน่น