X-Men: Dark Phoenix ขาดพลังและเสน่ห์อย่างรุนแรง

mysterious : เรื่อง

เดินทางมายาวนานถึง 11 ภาคกับเวลาเกือบ 2 ทศวรรษสำหรับภาพยนตร์แฟรนไชส์มนุษย์กลายพันธุ์สุดล้ำ X-Men ที่มีแฟนคลับทั่วโลก และล่าสุดได้ฤกษ์ปิดจ็อบส่งท้ายกันไปแล้วกับ X-Men : Dark Phoenix แม้จะเป็นบทสรุปปิดตำนาน X-Men อันยาวนาน แต่ก็ดูเหมือนว่ากระแสของภาคนี้กลับไม่น่าประทับใจเท่าที่แฟน ๆ คาดการณ์ไว้เท่าไหร่นัก

X-Men : Dark Phoenix ได้ ไซมอน คินเบิร์ก มือเขียนบทภาพยนตร์และโปรดิวเซอร์ชาวอังกฤษขึ้นแท่นผู้กำกับเป็นครั้งแรก ซึ่งคินเบิร์กดีไซน์การเล่าเรื่องโดยหยิบคอมิกส์ X-Men เมื่อปี 1980 ที่มีชื่อว่า The Dark Phoe-nix Saga มาปัดฝุ่นวาดเรื่องราวสู่บทภาพยนตร์ในครั้งนี้

X-Men : Dark Phoenix เปิดฉากมาด้วยภารกิจของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่ได้รับคำสั่งให้ช่วยชีวิตนักบินอวกาศนอกโลก ภารกิจที่ว่าเกือบจะล้มเหลวไป กระทั่งจีน เกรย์ (รับบทโดยโซฟี เทอร์เนอร์) เด็กสาวที่มีพลังจิตสูงมหาศาลเกิดอุบัติเหตุสามารถดูดกลืนรังสีสุริยะประหลาดเข้าไปในตัวได้สำเร็จ โดยที่เธอและทีม X-Men ไม่รู้เลยว่า พลังจากรังสีจะนำมาซึ่งหายนะต่อตัวเธอและมนุษยชาติในเร็ววัน

แม้ Dark Phoenix จะเป็นภาคต่อจาก X-Men : Apocalypse เมื่อปี 2016 แต่เนื้อเรื่องกลับไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันมากขนาดนั้น ครั้งนี้เมนหลักของหนังเป็นเรื่องของจีน เกรย์ เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ตัวบทพาเราย้อนไปสำรวจไทม์ไลน์ชีวิตวัยเด็กของจีน ตั้งแต่ค้นพบว่าตัวเองมีพลังพิเศษ สูญเสียพ่อแม่ จนได้รับการดูแลจาก ชาร์ลส์ ซาเวียร์ (เจมส์ แม็ควอย) และเติบโตมากับบรรดาเพื่อนพ้อง

มนุษย์กลายพันธุ์หลายสิบหลายร้อยชีวิต แต่การเล่าเรื่องในครั้งนี้มีช่องโหว่ค่อนข้างเยอะพอสมควร ความเชื่อมโยงกันของตัวละครในเรื่องขาด ๆ เกิน ๆ เราไม่เห็นความผูกพันแน่นแฟ้นของเพื่อน ๆ ในระดับที่จะยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องจีนจากวุค (เจสสิกา แชสเทน) มนุษย์ต่างดาวที่หวังจะใช้รังสีสุริยะในตัวจีนทำลายล้างโลก ความรู้สึกของตัวละครแวดล้อมที่กลับไปกลับมา รวมถึงเส้นเรื่องที่ไม่แน่นพอจึงไม่อาจดึงอารมณ์ร่วมของแฟนหนังหรือคนดูทั่วไปได้ขนาดนั้น

Advertisment

สำหรับตัวนักแสดงเองต้องบอกว่า เรื่องนี้อัดแน่นไปด้วยนักแสดงตัวใหญ่ ๆ ระดับพระเอกนางเอกฮอลลีวูดแทบทั้งสิ้น แต่น่าเสียดายที่ฝีมือนักแสดงทั้งหมดกลับไม่ถูกดึงมาใช้ได้เต็มประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น ตัวละครหลายตัวถูกใช้เป็นไม้ประดับที่ไม่มีบทบาทเสริมทัพในเรื่องมากเพียงพอ หรือกระทั่งการต่อบท

ในฉากซึ้ง ๆ ก็ไม่สามารถดึงอารมณ์ร่วมจากคนดูได้สักเท่าไหร่ กลายเป็นว่าคนที่แบกหนังทั้งเรื่องไว้คือจีน เกรย์ เพียงคนเดียว ตัวร้ายอย่างวุคเองที่น่าจะมีบทบาทการต่อกรชิงไหวชิงพริบกับจีนมากกว่านี้ก็ดันมีบทพูดที่แทบจะนับครั้งได้ จนหนังไปแล้วเราก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า สรุปแล้วเมนหลักของเรื่องที่ควรจะเป็นการยื้อแย่งพลังอำนาจระหว่างจีนและวุคทำไมถึงจบไปดื้อ ๆ แบบนี้

ส่วนที่น่าจะสนุกและตื่นเต้นที่สุดในเรื่อง คือฉากแอ็กชั่นที่ค่อนข้างจัดเต็ม ยิ่งพาร์ตหลังบู๊-แอ็กชั่นกันกระหน่ำสุด ๆ อย่างฉากในรถไฟที่หลาย ๆ คนยกให้เป็นฉากสุดมันส์ในเรื่อง หรือการปล่อยพลังพิเศษของบรรดามนุษย์กลายพันธุ์ก็ตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย

แม้บทสรุปของอภิมหากาพย์ X-Men จะไม่ยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างที่แฟน ๆ คาดหวังไว้ แต่แน่นอนว่า ด้วยระยะเวลาเกือบ 20 ปีกับแฟรนไชส์นี้ ใครที่เป็นแฟน X-Men ตัวยงก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

Advertisment