จับตา THE CROWN ซีซั่น 4 การมาถึงของ “เจ้าหญิงไดอาน่า” และหญิงเหล็ก “แธตเชอร์”

Netflix ประกาศวันฉายซีรีส์ The Crown ซีซั่นที่ 4 ออกมาแล้ว สำหรับประเทศไทยจะชมได้ในวันที่ 15 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ และมีการทยอยปล่อยภาพนิ่งออกมาเป็นการโปรโมตเรียกความสนใจของแฟน ๆ อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีข่าวออกมาว่าซีรีส์เรื่องดังเรื่องนี้จะจบลงในซีซั่นที่ 5 เท่านั้น

The Crown เป็นซีรีส์ที่นำเสนอเรื่องราวของราชวงศ์วินด์เซอร์ นับตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้าจอร์จที่ 5 ที่เผชิญกับวิกฤตในยุคที่หลายประเทศในยุโรปเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลายราชวงศ์ซึ่งล้วนเป็นเครือญาติกับราชวงศ์อังกฤษต้องถึงจุดจบ

หลังจากอยู่รอดผ่านพ้นวิกฤตมาได้ พอสิ้นพระเจ้าจอร์จที่ 5 ราชวงศ์ก็ต้องเจอกับช่วงเวลาวุ่น ๆ อีกครั้ง เมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ที่ทรงเลือกสละราชสมบัติเพื่อจะครองคู่กับหญิงผู้เป็นที่รัก ซึ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่เคียงข้างกษัตริย์

การสละราชสมบัติของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ทำให้พระอนุชา คือ เจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก ต้องขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าจอร์จที่ 6 (ซึ่งห้วงเวลาการขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าจอร์จที่ 6 ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ดังเรื่อง The King”s Speech) และนั่นเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของผู้หญิง 3 คน คือ พระชายาเอลิซาเบธ (ต่อมาคือ สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระบรมราชชนนี หรือ Queen Elizabeth The Queen Mother) เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (ต่อมาคือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2) และเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต (ต่อมาคือเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต)

หลังจากที่พระบิดาขึ้นครองราชย์ เจ้าฟ้าหญิงเอลิซาเบธก็เป็นรัชทายาทลำดับที่ 1 จากนั้นเมื่อพระชนมายุ 21 พรรษา ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับนายทหารเรือชื่อฟิลลิป เมานต์แบ็ตเทน ซึ่งเดิมเป็นเจ้าชายแห่งกรีซและเดนมาร์ก ด้วยแบ็กกราวนด์ของฟิลิปที่เป็นชาวต่างชาติ และเป็นเพียงอดีตเจ้าชายที่สิ้นราชวงศ์ ทางราชวงศ์วินด์เซอร์จึงไม่ปลื้มกับความรักของเจ้าฟ้าหญิงเอลิซาเบธกับฟิลิปนัก แต่ทั้งสองก็เอาชนะอุปสรรคได้ครองคู่กันดังปรารถนา

เมื่อพระเจ้าจอร์จที่ 6 เสด็จสวรรคตในปี 1952 เจ้าฟ้าหญิงเอลิซาเบธ มกุฎราชกุมารี เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร และเป็นประมุขแห่งเครือจักรภพ

เรื่องราวส่วนใหญ่ใน The Crown เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ดำเนินเรื่อยมา จากช่วงต้นรัชสมัยผ่านทุกช่วงเวลาสำคัญของราชวงศ์วินด์เซอร์และประวัติศาสตร์อังกฤษในยุคสมัยของพระองค์ โดยเน้นเรื่องราวส่วนตัวของสมาชิกราชวงศ์ ขณะเดียวกันก็มีเรื่องราวทางการเมือง และสถานการณ์สำคัญระดับประเทศและระดับโลกที่อังกฤษต้องเผชิญ

The Crown ซีซั่นที่ 3 ที่ออกฉายในช่วงปลายปี 2019 ครอบคลุมเรื่องราวระหว่างปี 1956 มาจบลงในปี 1977 ผ่านช่วงเวลาเสื่อมอำนาจของอังกฤษ ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ผ่านสถานการณ์ล่อแหลมที่เกือบจะมีการก่อรัฐประหาร ผ่านช่วงเวลาแห่งการปรับตัวของราชวงศ์ให้เข้ากับโลกสมัยใหม่

ขณะที่เรื่องราวชีวิตส่วนตัวของสมาชิกราชวงศ์ก็ไม่สู้ดี เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต พระขนิษฐาของควีนมีปัญหาชีวิตคู่จนถึงขั้นลงมือฆ่าตัวตาย ส่วนเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ รัชทายาทอันดับที่ 1 ก็กำลังทุกข์ตรมในเรื่องความรักกับคามิลลาซึ่งถูกปฏิเสธจากราชวงศ์ บ่อยครั้งที่ความรักกับหน้าที่เป็นสองสิ่งที่ผู้ (จะ) ครองบัลลังก์จำเป็นต้องเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง กรณีของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ส่งผลสะเทือนราชวงศ์ในเวลาต่อมา

ในซีซั่นที่ 4 นี้จะเริ่มเรื่องราวช่วงปลายทศวรรษ 1970 ต่อจากซีซั่น 3 มาจนถึงช่วงปลายทศวรรษ 1980 ซึ่งไฮไลต์ของซีซั่นนี้อยู่ที่การมาถึงของ 2 ตัวละครใหม่ คือ ไดอาน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ (รับบทโดย เอ็มม่า คอร์ริน) และ มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ (รับบทโดย จิลเลียน แอนเดอร์สัน) นายกรัฐมนตรีหญิงเหล็กของอังกฤษที่ครองตำแหน่งอย่างยาวนานในช่วงปี 1979-1990

ก่อนหน้านี้ Netflix ได้ทยอยปล่อยภาพจากฉากในภาพยนตร์ที่มีสองตัวละครนี้ออกมาให้ชมหลายภาพแล้ว ทั้งฉากที่เจ้าฟ้าชายชาร์ลสกับเจ้าหญิงไดอาน่าออกงานสังคม และฉากที่ทั้งคู่ออกเดตกัน ส่วนฝั่งแธตเชอร์ก็มีออกมาแล้วหลายภาพ หนึ่งในนั้นคือภาพคุ้นตาที่แทตเชอร์ในชุดสูทสีน้ำเงินให้สัมภาษณ์นักข่าวที่หน้าบ้านเลขที่ 10 ดาวนิ่งสตรีต ซึ่งเป็นที่พำนักของนายกฯ และสำนักงานใหญ่ของรัฐบาลอังกฤษ

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา Netflix ปล่อยภาพใหม่ล่าสุดออกมาสร้างความฮือฮาอีก เป็นภาพนักแสดงสาวผู้รับบทเจ้าหญิง
ไดอาน่าในชุดแต่งงานสีขาวที่ใช้เวลาถึง 600 ชั่วโมงในการตัดเย็บเลียนแบบชุดจริงที่เจ้าหญิงไดอาน่าทรงสวมเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลสเมื่อปี 1981 ซึ่งภาพนี้ทั้งนักแสดงและชุดเหมือนจริงจนชวนตะลึง

เรื่องราวที่ขยับเข้าใกล้ปัจจุบัน และการมาถึงของสองตัวละครใหม่ คนหนึ่งมีบทบาทต่อราชวงศ์อย่างยิ่ง ขณะที่อีกคนมีบทบาทต่อประเทศอังกฤษระดับที่มีคำกล่าวว่า “เปลี่ยนอังกฤษไปตลอดกาล” ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้มีข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ให้ทราบกันอยู่แล้ว ทีมงาน The Crown จะทำออกมาได้สนุกเข้มข้นแค่ไหน แฟน ๆ ซีรีส์และแฟนราชวงศ์อังกฤษจะได้ชมกันในเร็ว ๆ นี้