เบื้องลึก “เอิสเตอร์ซุนด์ส” จากดิวิชั่น 4 สวีเดน สู่รอบ 32 ทีมยูโรป้า

อาฮุย แผ่นดินใหญ่ : เรื่อง

ฟุตบอลสโมสรชิงแชมป์ยุโรปฤดูกาล 2017-2018 รู้ผลประกบคู่รอบน็อกเอาต์กันทั้งถ้วยใหญ่และเล็ก

นอกจากเรื่องบิ๊กแมตช์ที่ได้รับความสนใจจากแฟนบอลเป็นอันดับแรก ชื่อทีมที่ไม่คุ้นหูอย่าง “เอิสเตอร์ซุนด์ส” (Ostersunds FK) ซึ่งผ่านเข้ารอบมาได้ แต่ดวงแตกจับสลากมาเป็นคู่แข่งของอาร์เซนอล ทีมดังจากอังกฤษ คืออีกหนึ่งประเด็นที่ทำให้วงการลูกหนังฮือฮากันหลังจากตื่นเต้นกับ บิ๊กแมตช์ที่จะได้ยล

เอิสเตอร์ซุนด์ส เป็นทีมขนาดเล็กในเมืองเอิสเตอร์ซุนด์ เขตแยมท์ลันด์ ซึ่งอยู่ใจกลางประเทศสวีเดน ทีมมีอายุไม่ถึง 25 ปีด้วยซ้ำ สโมสรเล็ก ๆ ในแดนไวกิ้งก่อตั้งจากการควบรวมสโมสรในเมืองหลายทีมมารวมเป็นทีมเดียวกัน เมื่อเดือนตุลาคม ปี 1996 ก่อนหน้านั้นแค่เดือนเดียว อาร์แซน เวงเกอร์ กุนซืออาร์เซนอลเพิ่งรับตำแหน่งในถิ่นลอนดอนและทำงานยาวมาจนถึงทุกวันนี้

ผลงานของเอิสเตอร์ซุนด์ส ในรอบ 6 ปีมานี้ น่าจะเพียงพอสำหรับการพูดว่าพวกเขาเป็นสโมสรในยุโรปอีกทีมหนึ่งซึ่งพัฒนา เร็วที่สุด ที่สำคัญพวกเขาสร้างเนื้อสร้างตัวจากทรัพยากรที่แทบจะมีสถานะเป็นของเกรดบี ถึงซีในภูมิภาค แต่ภายใต้การทำทีมของ เกรแฮม พ็อตเตอร์ กุนซือหนุ่มชาวอังกฤษ ทีมขึ้นมาเล่นลีกสูงสุดของสวีเดนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อปี 2016 ถัดจากนั้นมาก็สร้างผลงานเหลือเชื่อด้วยการเขี่ยกาลาตาซาราย ทีมดังจากลีกตุรกี ตกรอบคัดเลือกยูโรป้า ลีก ชนะแฮร์ธ่า เบอร์ลิน จากบุนเดสลีกา ในรอบแบ่งกลุ่ม เข้าถึงรอบ 32 ทีมสุดท้าย

Advertisment

แดเนียล คินด์เบิร์ก ประธานสโมสรและอดีตทหารให้สัมภาษณ์กับบีบีซี เล่าบรรยากาศวันที่พวกเขาเอาชนะกาลาตาซาราย ด้วยผลประตูรวม 3-1 ซึ่งเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร (สโมสรตั้งมา 21 ปีเอง) คินด์เบิร์กเห็นแฟนบอลกาลาตาซาราย ลุกขึ้นมาปรบมือส่งทีมเล็ก ๆ จากสวีเดนเข้าอุโมงค์ ทีมดังของตุรกีก่อตั้งเมื่อปี 1905 ในประวัติศาสตร์กว่า 100 ปี ภาพของแฟนบอลกาลาตาซารายลุกขึ้นปรบมือส่งคู่แข่งออกจากสนามแทบไม่เคยเกิด ขึ้นเลย

ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องไม่ได้มาจากโชคช่วย ทศวรรษแรกหลังตั้งทีม เอิสเตอร์ซุนด์ส บริหารงานคล้ายสไตล์ทีมอังกฤษ จากที่คินด์เบิร์กสนิทสนมกับ โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ อดีตกุนซือเอฟเวอร์ตัน

เส้นทางช่วงแรกของทีมไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ปี 2010 คือช่วงตกต่ำที่สุด พวกเขาตกชั้นไปเล่นลีกดิวิชั่น 4 ของประเทศเป็นครั้งแรก คินด์เบิร์กที่สมัยนั้นยังทำงานเป็นผู้อำนวยการสโมสรฝ่ายฟุตบอลตัดสินใจออก จากทีม

คินด์เบิร์กเล่าให้ฟังว่า ผู้เล่นส่วนใหญ่เรียกร้องให้เขากลับมาช่วยทีม ทันทีที่เขาตัดสินใจกลับมารับงานอีกรอบ คินด์เบิร์ก จับเข่าคุยเปิดอกกับผู้เล่นและทีมงานอย่างจริงจัง สรุปออกมาเป็นแผนงาน ทุกคนที่ได้ยินแผนงานต่างบอกว่า “เป็นไปไม่ได้” สำหรับทีมที่เพิ่งตกชั้นไปเล่นลีกดิวิชั่น 4 ของประเทศ มีคนดูไม่เกินพันคนในสนาม เพราะเป้าหมายของพวกเขาคือต้องการเป็นหนึ่งในสโมสรชั้นนำในยุโรป !!

Advertisment

คินด์ เบิร์กโทรศัพท์ไปหา แกรม โจนส์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยคู่ใจของ มาร์ติเนซ โจนส์ แนะนำกุนซืออังกฤษรายหนึ่งชื่อ เกรแฮม พ็อตเตอร์ อดีตนักเตะเซาแธมป์ตัน กลางยุค 90 ซึ่งแขวนสตั๊ดเมื่ออายุ 30 และทำงานเป็นโค้ชทีมระดับมหาวิทยาลัยในอังกฤษ พ็อตเตอร์ตอบตกลงรับงานและย้ายมาสวีเดนในปี 2011

พ็อตเตอร์เริ่ม สร้างทีมจากการดึงผู้เล่นที่เขารู้จักในอังกฤษมา เขายอมรับว่าการดึงตัวนักเตะฝีเท้าดีมาเล่นในประเทศที่มีแต่หิมะและไม่มีใคร รู้จักเป็นเรื่องยาก แต่ด้วยเครือข่ายความสัมพันธ์ในอังกฤษของพ็อตเตอร์ ประกอบกับรากฐานที่ชัดเจนทำให้งานประสบผล พ็อตเตอร์พาทีมเลื่อนชั้น 2 ปีติดกันมาสู่ดิวิชั่น 2 และไต่ชั้นเรื่อยมาจนปี 2016 พวกเขาได้เล่นในลีกสูงสุดของสวีเดน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เท่านั้นไม่พอยังได้แชมป์สวีดิช คัพ ได้ตั๋วไปคัดเลือกยูโรป้า ลีก ซึ่งพวกเขาฝ่าฟันเกินความคาดหมายไปได้ถึงรอบ 32 ทีมสุดท้าย

เอิสเตอร์ซุนด์ส ของพ็อตเตอร์ ไม่ได้เล่นฟุตบอลโบราณที่วางบอลยาว แต่กลับมาเน้นการผ่านบอลและครองบอล มีทีมสปิริตที่ยอดเยี่ยม ขณะที่สโมสรสามารถพัฒนาโครงสร้างให้สอดคล้องกับมาตรฐานของสหพันธ์ฟุตบอลทวีป ยุโรปเพื่อลงแข่งในรายการระดับทวีป

นอกเหนือจากเรื่องราวในเส้นทาง ที่วางรากฐานฟุตบอลนอกกรอบแบบสวีดิชแล้ว เอิสเตอร์ซุนด์ส ยังมีวิธีบริหารงานบุคลากรที่ไม่เหมือนใคร ด้วยบริบทพื้นที่ที่ใกล้ชิดกับชุมชน ทีมมีอคาเดมี่วัฒนธรรมที่ให้ผู้เล่นจนถึงตัวผู้จัดการทีมอย่างพ็อตเตอร์ พัฒนาการเต้น ร้องเพลง และการแสดง ต่อหน้าผู้ชมซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มความมั่นใจ การตัดสินใจ และรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ

ไม่ว่าผลการแข่งในรอบน็อกเอาต์จะออกมา อย่างไร เอิสเตอร์ซุนด์ส คืออีกหนึ่งทีมที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องทำเหมือนใครเพื่อจะได้ประสบความสำเร็จเหมือนอย่างคนอื่น พวกเขาเชื่อมั่นในแนวทางที่แตกต่างถึงแม้ว่าจะถูกหัวเราะเยาะหรือดูถูกว่า เป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นเรื่องเพ้อฝันก็ตาม ถ้าทีมจากลีกดิวิชั่น 4 มาถึงลีกสูงสุดของประเทศ จนถึงยูโรป้า ลีก ได้ เส้นทางไปสู่ “ทีมชั้นนำของยุโรป” น่าจะปลดคำว่า “เป็นไปไม่ได้” ออกอย่างสิ้นเชิง