MINT เพิ่มทุนเอ็นเอชโฮเทล ปูพรมธุรกิจโรงแรม”ทั่วโลก”

ไมเนอร์ฯรุกหนักตลาดยุโรป เพิ่มการลงทุนใน “เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป” ในสัดส่วน 25.2% รวมมูลค่าลงทุน 619 ล้านยูโร คาดสรุปได้ภายใน ก.ย.นี้ พร้อมตั้งเป้าขยับสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มเป็น 51-55% ยันให้เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาดริด สเปน เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

 

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไมเนอร์ โฮเทลส์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า บริษัทได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการดำเนินธุรกิจ ด้วยการขับเคลื่อนกลยุทธ์การลงทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานการดำเนินงานของบริษัทในอุตสาหกรรมโรงแรมในทวีปยุโรป ด้วยการเข้าซื้อหุ้นสามัญในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป จากเอชเอ็นเอ กรุ๊ป ในสัดส่วนร้อยละ 25.2 เมื่อนับรวมหุ้นสามัญทั้งหมด รวมเป็นเงินลงทุนทั้งหมดจำนวน 619 ล้านยูโร

นอกจากนี้ ยังยืนยันที่จะดำเนินการตามกฎของประเทศสเปนเมื่อเข้าข่ายการทำการเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป โดยราคาเสนอขายจะไม่ต่ำกว่าราคาสูงสุดที่ MINT ได้ซื้อหุ้นของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 6.40 ยูโรต่อหุ้น

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะถือหุ้นในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ในสัดส่วนร้อยละ 51 ถึง 55 และมีแผนที่จะให้เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ยังคงเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาดริดและรักษาการกำกับดูแลกิจการที่ดีต่อไป

นายดิลลิปกล่าวว่า การลงทุนดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีเครือข่ายโรงแรมมากกว่า 540 แห่ง ครอบคลุมทั้งทวีปเอเชีย โอเชียเนีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป ซึ่งเป็นภูมิภาคที่สำคัญของธุรกิจโรงแรมในระดับโลก เครือข่ายทางธุรกิจนี้จะส่งผลให้ทั้ง 2 บริษัทได้ประโยชน์จากความเป็นผู้นำในตลาดที่มีการเติบโตสูง เครือข่ายโรงแรมและแบรนด์ที่ช่วยส่งเสริมธุรกิจให้กันและกัน ระบบเทคโนโลยี และบุคลากรที่มีความสามารถ

นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยสนับสนุน เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ด้วยความรู้ความสามารถในการบริหารร้านอาหารเพื่อช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าและเพิ่มศักยภาพของรายได้ตามความเหมาะสม ด้วยความร่วมมือของทั้ง 2 บริษัทให้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า และมีโอกาสในการเติบโตธุรกิจมากกว่าที่แต่ละบริษัทจะสามารถทำได้เอง

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไมเนอร์ โฮเทลส์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า การซื้อหุ้นจาก เอชเอ็นเอ กรุ๊ป จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกเป็นจำนวน 65.85 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16.8 เมื่อนับรวมหุ้นสามัญทั้งหมด ซึ่งจะแล้วเสร็จประมาณวันที่ 15 มิถุนายน 2561 และส่วนที่สองเป็นจำนวน 32.94 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.4 เมื่อนับรวมหุ้นสามัญทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายนปี 2561