เอเชียอ่วมพิษ “ดอลลาร์” ระวังวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” รอบใหม่

JAPAN-ECONOMY-FOREX
People queue at the entrance to a currency exchange shop in central Tokyo on April 17, 2024, as the yen continues its downward spiral against the US dollar. The prospect of US interest rates remaining high has sent the dollar surging this year, and this week hit a 34-year high against the yen as Japan's central bank keeps monetary policy loose. (Photo by Richard A. Brooks / AFP)
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์

หากติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดเงิน ตลาดทุนในเอเชียกันสักหน่อย ทุกคนคงตระหนักถึงปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ด้วยเหตุที่ว่าบรรดาเงินสกุลสำคัญ ๆ ในเอเชียยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา

เงินเยนของญี่ปุ่น ณ จุดหนึ่งถึงกับทรุดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 34 ปี เงินวอนของเกาหลีใต้ก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งเงินหยวนของจีน

ดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่ามาโดยตลอด ผู้สันทัดกรณีบางคนถึงกับระบุว่า ค่าเงินดอลลาร์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นมากถึง 30% โดยที่ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนแปลง ตราบเท่าที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงอยู่เช่นเดิม

ปัจจัยที่ว่านั้น โดยหลัก ๆ ก็คือ ภาพรวมเศรษฐกิจที่ “ดูเหมือนว่า” จะแข็งแกร่ง ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิดได้ดีกว่าและเร็วกว่าหลาย ๆ ประเทศ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐอเมริกายังคงแขวนอยู่ในระดับสูง สูงกว่าทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียและประเทศส่วนใหญ่ของโลก

สภาพดังกล่าวก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าวิตกในรูปแบบของการไหลออกของเงินทุนจากประเทศที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ ไปยังประเทศที่ให้ผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยสูงอย่างเช่นสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง

Advertisment

ผลลัพธ์ก็คือ บรรดาค่าเงินของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกล้วนตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์กันถ้วนหน้า

เหตุผลเป็นเพราะบรรดานักลงทุนพากันเทขายสินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่ในรูปของเงินสกุลอื่น ๆ เพื่อนำเงินไปซื้อดอลลาร์สำหรับลงทุนหลักทรัพย์ หรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า

ทั้งหมดนั้นทำให้ข้อวิตกกังวลที่น่ากลัวประการหนึ่งหวนกลับมาอีกครั้ง เพราะหลายคนเริ่มตั้งคำถามขึ้นตามมาว่า หรือว่าสถานการณ์ในยามนี้จะนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ที่เริ่มต้นในภูมิภาคเอเชียอีกครั้งเหมือนเมื่อปี 1997 ที่รู้จักกันในนามวิกฤตต้มยำกุ้ง

แม้ว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังมีอีกบางส่วนที่เตือนว่า โอกาสที่จะเกิดวิกฤตที่ว่านี้ในเอเชียยังมีส่วนที่เห็นด้วย ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างสำคัญบางอย่าง ระหว่างสถานการณ์ในปัจจุบัน กับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 27 ปีก่อน เป็นต้นว่า ประเทศในเอเชียในยามนี้ใช้ระบบปริวรรตเงินตราแบบยืดหยุ่นมากกว่าเดิมแทบทั้งหมด ไม่ได้ตรึงค่าเงินตนเองกับดอลลาร์เหมือนในอดีตที่ผ่านมา

Advertisment

ขณะเดียวกัน การแข็งค่าของดอลลาร์ก็มีปัจจัยหลักมาจากนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ที่นำมาใช้เพื่อต่อกรกับภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยระยะสั้น เพราะในที่สุดเฟดก็ต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงมา ไม่ปล่อยให้อยู่ในระดับสูงต่อเนื่องต่อไปนาน ๆ

อีกฝ่ายไม่ได้โต้แย้งในประเด็นเหล่านี้ กระนั้นก็ยังยืนยันว่า วิกฤตทางการเงินยังเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปัญหาหนักหนาสาหัสเกิดขึ้นกับเงินสกุลสำคัญ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงิน “หยวน” ของจีน

การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ทำให้ค่าเงินในเอเชียอ่อนค่าลงถ้วนหน้าก็จริง แต่การอ่อนค่าลงเหล่านั้นกลับไม่เท่ากัน อัตราดอกเบี้ยที่ไหนต่ำมาก ค่าเงินก็จะอ่อนลงมากตามไปด้วย

นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม “เงินเยน” ของญี่ปุ่นถึงรูดลงเร็วและแรงอย่างที่เห็น

ข้อเท็จจริงก็คือ เมื่อค่าเงินอ่อนลงมาก ๆ สินค้าของประเทศนั้น ๆ จะมีขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะราคาสินค้าจะถูกลงเมื่อเทียบกับสินค้าประเภทเดียวกันจากประเทศอื่น ๆ ที่ค่าเงินอ่อนลงไม่มากเท่า ยั่วยวนให้เกิดการแทรกแซงตลาดเงิน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขึ้นตามมา ที่อาจนำไปสู่ “สงครามค่าเงิน” ขึ้นได้

ตัวอย่างเช่น เกาหลีใต้หรือไต้หวัน อาจเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อให้สินค้าของตนแข่งกับญี่ปุ่นได้ เป็นต้น

หากเกิดกับประเทศอื่นยังพอทำเนา แต่หากเกิดขึ้นกับ “เงินหยวน” ของจีน อันตรายใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นตามมา เพราะในทันทีที่จีนพยายามจะสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า ด้วยการทำให้หยวนอ่อนค่าลงสู้กับเงินเยนญี่ปุ่นหรือเงินวอนของเกาหลีใต้ ความคาดหวังว่าหยวนจะลดลงแรงมากจะเกิดขึ้นตามมา ซึ่งจะยิ่งก่อให้เกิดการเทขายและการร่วงลงครั้งใหญ่ ไม่เพียงแต่เฉพาะเงินหยวนเท่านั้น แต่อาจลามไปถึงทุกสกุลในเอเชีย

เมื่อนั้นแหละที่วิกฤตในทำนองต้มยำกุ้งจะเกิดขึ้นตามมา

ถามว่าสถานการณ์ทำนองนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริงไหม คำตอบก็คือ มี แต่ไม่น่าจะสูงมากมายนัก

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ทางการจีนไม่น่าจะทำเช่นนั้น แต่จะยังคงเน้นให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาในการปรับปรุง “โมเดลเศรษฐกิจ” ของตนเองมากกว่าที่การพึ่งพาอัตราแลกเปลี่ยน หรือสงครามค่าเงินใด ๆ

สำหรับชาติอื่น ๆ ในเอเชียก็คงภาวนาเช่นนั้น เพราะแค่การอ่อนค่าของสกุลเงินเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในยามนี้ก็เจ็บปวดมากพอแล้ว อย่าให้ถึงขั้นวิกฤตกันอีกเลย