จับตา “คาร์ลอส กอส์น” หลังปฏิบัติการหนีข้ามโลก!

การหลบหนีออกจากประเทศญี่ปุ่นของ “คาร์ลอส กอส์น” อดีตซีอีโอบริษัท “นิสสัน มอเตอร์” ไปยังเลบานอน ยังคงเป็นที่จับตาของทั่วโลกว่าจะจบลงอย่างไร เนื่องจากนับว่าเป็นการทำลายความเชื่อมั่นในระบบการรักษาความปลอดภัยของญี่ปุ่น ที่ไม่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้ได้

นายกอส์นได้เดินทางหลบหนีออกจากสถานที่กักตัวของเขาในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยได้เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวไปยังตุรกี ก่อนที่จะเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางต่อไปจนถึงเลบานอน ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของเขา โดยความประหลาดใจของเจ้าหน้าที่ทางการว่าเขาสามารถเดินทางหลบหนีได้สำเร็จ โดยที่พาสปอร์ตทั้ง 3 สัญชาติของเขายังคงถูกเก็บรักษาไว้กับทนายความของเขาที่ญี่ปุ่น ตามรายงานของ “ซีเอ็นเอ็น”

ทั้งนี้ คาร์ลอส กอส์น ที่ถูกควบคุมตัวมาตั้งแต่ปลายปี 2018 ได้หลบหนีออกจากญี่ปุ่นก่อนหน้าที่จะมีการพิพากษาคดีอาญาเกี่ยวกับการทุจริตทางการเงินของเขา ที่ถูกกล่าวหาว่า นายกอส์นจงใจปกปิดรายได้มาเป็นเวลาหลายปี รวมถึงมีการยักยอกเงินของบริษัทหลายครั้ง อย่างการโอนเงินจำนวน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐของนิสสันไปให้กับบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ที่เขามีควบคุมอยู่ แต่เขายังคงปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดมาโดยตลอด

หลังการหลบหนีของนายกอส์น “เกียวโด” รายงานว่า ในวันที่ 31 ธ.ค. ศาลแขวงโตเกียวตัดสินริบเงินประกันตัวนายกอส์นมูลค่า 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากความผิดฐานหลบหนีคดี ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนเงินประกันตัวที่มากที่สุดที่เคยมีมาในญี่ปุ่น

ต่อมา คาร์ลอส กอส์นได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่กรุงเบรุต เมืองหลวงของเลบานอนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่หลบหนีออกมาจากญี่ปุ่นในวันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของตนเอง พร้อมทั้งระบุว่าการปลดจากตำแหน่งซีอีโอ และการจับกุมตัวเขาที่ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในแผนการโค่นอำนาจของเขาลง

เนื่องจากอดีตซีอีโอรายนี้ได้นำ “นิสสัน” จับมือเป็นพันธมิตรกับ “เรโนลต์” ค่ายรถยนต์ฝรั่งเศส ซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจในกลุ่มพนักงานนิสสันที่กังวลว่า เรโนลต์กำลังมีอิทธิพลเหนือนิสสัน “น่าเสียดายที่ไม่มีความไว้วางใจกัน และเพื่อนชาวญี่ปุ่นบางคนคงคิดว่าหนทางเดียวที่จะขจัดอิทธิพลของเรโนลต์ต่อนิสสันคือการกำจัดผม” กอส์นกล่าวพร้อมทั้งยืนยันว่า เขาไม่ต้องการให้มีการควบรวมกิจการ และยังคงต้องการให้บริษัททำงานเป็นอิสระต่อกัน

“ผมไม่ได้หลบหนีความยุติธรรม แต่ผมหลบหนีความอยุติธรรม” อดีตประธานนิสสันกล่าว พร้อมทั้งโจมตีระบบยุติธรรมของญี่ปุ่นว่า “ละเมิดหลักการพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน” จากการกักขังเขาอย่างโดดเดี่ยว การสอบสวนโดยปราศจากทนายความ และการพิจารณาคดีที่ล่าช้า

นายกอส์นยังระบุด้วยว่า ทนายความของเขากล่าวว่า เขาสามารถถูกควบคุมตัวอยู่ในญี่ปุ่นได้ถึง 5 ปีก่อนที่จะมีการพิพากษาคดี ทำให้เขาเชื่อว่าเขาอาจจะเสียชีวิตในญี่ปุ่นหากเขาไม่หลบหนีออกมา “ผมรู้สึกว่าผมตกเป็นตัวประกันของประเทศที่ผมรับใช้มาถึง 17 ปี” และเขาชี้ว่า ทางการญี่ปุ่นต้องการข้อมูลที่สอดคล้องกับข้อกล่าวหา โดยไม่ตั้งใจที่จะค้นหาความจริง

ทั้งนี้ อัยการญี่ปุ่นยังได้ออกหมายจับ “แครอล กอส์น” ภรรยาของคาร์ลอส กอส์นในวันที่ 7 ม.ค. ในข้อหาให้การเท็จระหว่างการไต่สวนของศาลเมื่อเดือน เม.ย. 2019 ซึ่งนายกอส์นระบุว่านี่เป็นการกลั่นแกล้งที่ชัดเจน “คุณจะพบว่านี่มันตั้ง 9 เดือนผ่านมาแล้ว แต่เพิ่งจะมาออกหมายจับเพียง 1 วันก่อนงานแถลงข่าววันนี้ นี่เป็นเรื่องบังเอิญเหรอ” พร้อมทั้งปฏิเสธว่า ครอบครัวของเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลบหนีครั้งนี้

นายกอส์นยังได้ระบุว่า ทนายความของเขาจะดำเนินการต่อสู้ตามกระบวนการณ์ยุติธรรมต่อไป โดยระบุว่า คดีความของเขาเป็น “การกลั่นแกล้งทางการเมือง” และเขาพร้อมที่จะพิสูจน์ความจริงนอกประเทศญี่ปุ่น

หลังการแถลงข่าวของนายกอส์น อัยการกรุงโตเกียวได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า “คำพูดของเขาในการแถลงข่าววันนี้ไม่สามารถพิสูจน์การกระทำของเขาได้” ขณะที่ “มาซาโกะ โมริ” รมว.ยุติธรรมของญี่ปุ่นระบุว่า “กอส์นได้แพร่กระจายข้อมูลเท็จเกี่ยวกับระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของญี่ปุ่น ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและในระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้”

อย่างไรก็ตาม การส่งตัวนายกอส์นกลับไปยังญี่ปุ่นเป็นไปได้น้อยมาก เนื่องจากเลบานอนและญี่ปุ่นไม่มีข้อตกลงส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน แต่เมื่อวันที่ 2 ม.ค. องค์การตำรวจสากลได้ออก “หมายแดง” หรือหมายจับที่ยืนยันว่านายกอส์นเป็นบุคคลที่ญี่ปุ่นต้องการตัว

ต่อมาในวันที่ 9 ม.ค. อัยการของเลบานอนได้ออกคำสั่งห้ามนายกอส์นเดินทางออกนอกประเทศ เพื่อไต่สวนคดีตามหมายจับขององค์การตำรวจสากล แต่ทางการเลบานอนยังคงยืนยันว่าเขาเข้าประเทศอย่างถูกกฎหมาย และในวันที่ 10 ม.ค. ทางการญี่ปุ่นยังเรียกร้องให้องค์การตำรวจสากลออกหมายจับแครอล กอส์นด้วยเช่นกัน เพื่อต้องการจำกัดการเดินทางออกนอกประเทศของภรรยานายกอส์นด้วย