“ลิเลียน เบตตองกูร์” ทายาทอาณาจักรเครื่องสำอางค์ “ลอรีอัล” นักธุรกิจหญิงที่ครองตำเเหน่งสตรีผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคชรา ในวัย 94 ปี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตามการเปิดเผยของครอบครัว
เอเอฟพี ระบุว่าครอบครัวของนางลิเลียน เบตตองกูร์ สตรีผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกและผู้ถือหุ้นใหญ่ของกิจการลอรีอัล บริษัทเครื่องสำอางชั้นนำของโลก ได้ประกาศว่านางเบต์ตองกูร์เสียชีวิตแล้วขณะอายุ 94 ปี
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
“ลิเลียน เบตตองกูร์เสียชีวิตไปเมื่อคืนนี้ที่บ้านพัก แม่ของดิฉันจากไปอย่างสงบ” ฟรองซวส เบต์ตองกูร์ ลูกสาวคนเดียวกล่าว
นิตยสารฟอร์บส์ ได้จัดอันดับความร่ำรวยของลิเลียน เบตตองกูร์ไว้ที่อันดับ 14 ของโลก ด้วยทรัพย์สินเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้อยู่ที่ 39,500 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.3 ล้านล้านบาท ถือเป็น “ผู้หญิง” ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
โดยเธอเข้าสู่อาณาจักรเครื่องสำอางค์ของผู้เป็นพ่อเมื่ออายุได้ 15 ปี และรับหุ้นของบริษัทตกทอดมาดูแลเมื่อปี 1957 และยังเดินหน้าสานต่อธุรกิจของครอบครัวในฐานะผู้บริหารลอรีอัลจนถึงปี 2012 ก่อนจะวางมือเมื่อเธออายุได้ 89 ปี โดยให้หลานชายรับช่วงต่อ
ขณะที่เธอถือหุ้น 1 ใน 3 ของ L’Oreal Group ที่เป็นเจ้าของแบรนด์ดังอย่าง L’Oreal, Lancome, Garnier และ La Roche-Posay
อย่างไรก็ตาม นางเบตตองกูร์ ไม่ได้ออกงานสังคมมาเป็นเวลานาน เนื่องจากปัญหาสุขภาพ แต่ชื่อของเธอยังปรากฎเป็นข่าวใหญ่อยู่เสมอ จากเหตุกลุ่มคนใกล้ชิดถูกตั้งข้อหาแสวงหาผลประโยชน์จากสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ลงของเธอ และเธอถูกประกาศให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถที่จะบริหารกิจการของตนเอง หลังจากรายงานของแพทย์แสดงให้เห็นว่า เธอป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์ค่อนข้างรุนแรง นับตั้งแต่ปี 2006
โดยความบาดหมางรุนแรง เกิดขึ้นเป็นคดีความระหว่างฟรองซัวส์ เบตตองกูร์-เมเยอร์ ลูกสาวคนเดียวของเธอ และกับกลุ่มคนสนิทเเละญาติมิตรบางคนของเเม่เธอ พร้อมถึงโยงอดีตประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี ของฝรั่งเศสเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
หลังผู้จัดการมรดก ถูกกล่าวหาว่านำเงินของนางเบต์ตองกูร์ไปสนับสนุนให้พรรคอูแอมเปสมัยที่นายซาร์โกซีเป็นผู้นำ ในการหาเสียงเมื่อปี 2550 อย่างไรก็ตามข้อกล่าวหาดังกล่าวตกไปในปี 2013 เนื่องจากศาลเห็นว่ามีหลักฐานไม่เพียงพอ