“จีน” เร่งกดดัน 11 บริษัทบิ๊กเทค คุ้มครอง “กิ๊กเวิร์กเกอร์” 200 ล้านคน

กิ๊กเวิร์กเกอร์

แรงงานอิสระ ที่เน้นการรับจ้างทำงานแบบชั่วคราว หรือที่เรียกว่า gig worker เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท่ามกลางการเติบโตของโลกเทคโนโลยี แต่กิ๊กเวิร์กเกอร์กลับไม่อยู่ในระบบของบริษัทผู้จ้างและไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิแรงงานเท่าที่ควร ทำให้ประเทศจีนที่มีกิ๊กเวิร์กเกอร์อยู่เป็นจำนวนมาก ต้องเร่งกดดันให้บริษัทยักษ์ใหญ่ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อคุ้มครองสิทธิแรงงานกลุ่มนี้

เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์รายงานว่า กระทรวงทรัพยากรมนุษย์และสวัสดิการสังคมจีน (MHRSS) เปิดเผยรายงานเมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2565 เกี่ยวกับการประชุมร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ 11 ราย เพื่อหารือและรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อคุ้มครองสิทธิแรงงานอิสระมากยิ่งขึ้น

โดยมีบริษัทเทคโนโลยีหลายรายเข้าร่วมการประชุม ไม่ว่าจะเป็นยักษ์อีคอมเมิร์ซ “อาลีบาบา กรุ๊ป” “เทนเซ็นต์” รวมถึงผู้ให้บริการไรด์เฮลลิ่งรายใหญ่อย่าง “ตีตี ชูสิง” และ “เชา เชา โมบิลิตี” รวมถึงเจ้าของแพลตฟอร์มฟู้ดดีลิเวอรี่อย่าง “เหม่ยถวน” “เอ้อเลอเมอ” (Ele.me)

โดยการประชุมดังกล่าว กระทรวงทรัพยากรมนุษย์และสวัสดิการสังคม ร่วมกับกระทรวงคมนาคม สำนักงานบริหารจัดการกฎระเบียบตลาดแห่งรัฐ (SAMR) และสหพันธ์สหภาพแรงงานจีน (ACFTU) ได้ออก “คำสั่งทางการปกครอง” (administrative instruction) ระบุให้บริษัทต้องเข้าใจความต้องการของแรงงานอย่างลึกซึ้ง เพิ่มการดูแลคุ้มครองสิทธิลูกจ้าง แก้ไขอัลกอริทึมและกฎระเบียบด้านแรงงานบนแพลตฟอร์ม รวมถึงปรับปรุงกลไกภายในองค์กร

คำสั่งดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสอบภาคธุรกิจจีนในประเด็นด้านสิทธิแรงงาน ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือน ก.ค. 2021 โดยมีเป้าหมายในการรับประกันสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น ค่าแรงที่เหมาะสม ความปลอดภัยในการทำงาน และสิทธิประกันภัยของแรงงานที่อยู่ใน “การจ้างงานรูปแบบใหม่” ซึ่งครอบคลุมกลุ่มกิ๊กเวิร์กเกอร์

ทั้งนี้ “กิ๊กเวิร์กเกอร์” หมายถึงแรงงานอิสระที่รับทำงานให้กับบริษัทต่าง ๆ เพื่อให้บริการลูกค้าตามความต้องการของบริษัท เช่น พนักงานฟู้ดดีลิเวอรี่ ผู้ขับขี่ไรด์เฮลลิ่ง และตำแหน่งงานอื่น ๆ ใน “กิ๊กอีโคโนมี” ซึ่งมีลักษณะเป็นการจ้างงานชั่วคราว ที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของแรงงานต่างไปจากพนักงานประจำ

กิ๊กอีโคโนมีของจีนนับว่ามีขนาดใหญ่ โดยในปี 2020 จีนมีแรงงานประมาณ 200 ล้านคน ที่จัดอยู่ในกลุ่ม “การจ้างงานแบบยืดหยุ่น” ทางบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง “ตีตี ชูสิง” มีผู้ขับไรด์เฮลลิ่งราว 4 ล้านคน ขณะที่ “เหม่ยถวน” มีพนักงานฟู้ดดีลิเวอรี่ที่เป็นพนักงานเต็มเวลาราว 1 ล้านคน แต่มีการจดทะเบียนเป็นพนักงานดีลิเวอรี่กับบริษัทสูงเกือบ 10 ล้านคน

ซึ่งบริษัทผู้จ้างงานถูกวิจารณ์ว่าขาดการคุ้มครองแรงงานส่วนนี้มาอย่างยาวนาน เช่น ไม่มีการคุ้มครองความเสี่ยงจากการปฏิบัติงาน หรือแรงกดดันที่แรงงานได้รับจากการปฏิบัติตามกรอบเวลาที่เข้มงวดของแพลตฟอร์ม โดยไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงาน

อย่างไรก็ตาม การแสดงบทบาทดูแลสิทธิแรงงานของทางการจีนเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมปราบปรามบริษัทยักษ์ใหญ่ ภายใต้นโยบายของประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่ให้ความสำคัญกับการกระจายความมั่งคั่ง เพื่อสร้าง “ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน”

“เจนนี่ ชาน” ผู้เชี่ยวชาญประจำมหาวิทยาลัยโปลีเทคนิคฮ่องกง ระบุว่า “บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รวมถึงสตาร์ตอัพจำเป็นต้องรับฟังและประนีประนอม ไม่เช่นนั้นอาจไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ และทำให้การดำเนินธุรกิจไม่ได้รับความสะดวก”

นอกจากนี้การสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มแรงงานยังเป็นการสร้างอำนาจต่อรองให้กับทางการจีนในการเข้าไปจัดการควบคุมบริษัทยักษ์ใหญ่ ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องจากปี 2021 ที่ผ่านมา