มหาเศรษฐีเจ้าของ เรย์แบน – เลโอนาร์โด เดล เวกคีโอ ไม่เพียงทิ้งตำนานชีวิตดราม่าที่สร้างตัวจากเด็กกำพร้ายากจนขึ้นไปเป็นมหาเศรษฐีอันดับสองของประเทศ ยังทิ้งมรดกมหาศาลกว่า 1 ล้านล้านบาท
วันที่ 28 มิถุนายน 2565 สำนักข่าว REUTERS รายงานถึงการจากไปของ เลโอนาร์โด เดล เวกคีโอ – Leonardo del Vecchio มหาเศรษฐีอันดับต้นของอิตาลี เจ้าของแว่นตา เรย์แบนด์ แบรนด์ดังชื่อก้องโลก ที่เพิ่งจากโลกไปเมื่อวันจันทร์ที่ 27 มิ.ย. ที่นครมิลาน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
โดยทิ้งมรดกธุรกิจไว้มากมาย ตั้งแต่แว่นตาเรย์แบนไปจนถึงกิจการธนาคาร มูลค่ารวม 29,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1 ล้านล้านบาท
เลโอนาร์โด เวกคีโอ เสียชีวิตขณะอายุ 87 ปี ไม่เพียงทิ้งตำนานชีวิตดราม่าที่สร้างตัวจากเด็กกำพร้ายากจนขึ้นไปเป็นมหาเศรษฐีอันดับสองของประเทศ ยังทิ้งมรดกมหาศาลที่เป็นธุรกิจมากมายในนามบริษัท เดลฟิน โฮลดิง ไว้ให้ผู้คนคาดเดากันว่าจะตกเป็นของใคร
แบ่งหุ้นให้ลูก 6 คนถือครอง
เบื้องต้นคาดว่า นิโกเล็ตตา ซามปิลโล ภรรยาคนที่สอง ซึ่งมหาเศรษฐีเวกคีโอหวนกลับมาแต่งงานด้วยอีกครั้งในปี 2010 (พ.ศ.2553) หลังจากการหย่าร้างไปนาน 7 ปี จะได้ส่วนแบ่งถือหุ้น 25% ของบริษัทเดลฟิน
อีก 75% ของหุ้นบริษัทแห่งนี้ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ประเทศลักเซมเบิร์ก จะแบ่งเท่า ๆ กันให้กับลูก 6 คนที่มาจากการแต่งงาน 3 ครั้งของมหาเศรษฐี โดยสามคนแรกมาจากภรรยาคนแรก หนึ่งคนจากซามปิลโล ภรรยาคนที่สอง และอีกสองคนจากภรรยาคนที่สาม
ตอนที่เวกคีโอยังมีชีวิตอยู่ ได้ชื่อว่าต้องการกุมกิจการธุรกิจเดลฟินของตนเองให้แข็งแกร่ง จึงแบ่งสิทธิการโหวตให้กับลูก ๆ ของตนเองไว้ถึง 75%
และเพื่อให้มั่นใจว่า กิจการทั้งสามสาขาของบริษัทมีสมาชิกของครอบครัวอยู่ในบอร์ดที่มีอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับทรัพย์สินของบริษัท ซึ่งตามกฎหมายแล้วเสียงส่วนใหญ่ในการอนุมัติต้องถึง 88.5%
วางแผนแบ่งสมบัติไว้แล้ว
กีโด คอร์เบตตา นักวิชาการอิตาลี และผู้เชี่ยวชาญการศึกษาบริษัทที่มีครอบครัวเป็นเจ้าของ กล่าวว่า เดล เวกคีโอ รู้ดีว่าสถานการณ์ในครอบครัวซับซ้อน ดังนั้นเขาจึงเตรียมการไว้หมดแล้วอย่างน้อยก็คือในทางเอกสาร เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้
ทรัพย์สินหลักของบริษัทเดลฟิน อยู่ที่การครองหุ้น 32% ในบริษัทแว่นตายักษ์ใหญ่ EssilorLuxottica ที่มหาเศรษฐีเดล เวกคีโอ เข้าครอบครองเมื่อปี 2018 (พ.ศ. 2561) หลังจากควบรวมบริษัทผู้ผลิตแว่น ลุกซอตติกา – Luxottica ที่เขาก่อตั้งขึ้นในยุค 1960 กับบริษัทผู้ผลิตเลนส์ เอสซิลอร์ – Essilor ของฝรั่งเศส
ในบรรดาลูก 6 คนของเดล เวกคีโอ ลูกชายคนโปรดที่ชื่อ เลโอนาร์โด มาเรีย ทายาทคนเดียวที่มีกับซามปิลโล ภรรยาคนที่สอง ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกค้าปลีกของลุกซอตติกา
ส่วน เคลาดิโอ ลูกชายคนโต อายุ 65 ปี และอดีตซีดีโอบริษัทเสื้อผ้าบุรุษ แบรนด์ Brooks Brothers ของอเมริกา เสียที่นั่งในบอร์ดของบริษัทลุกซอตติกาไปเมื่อปี 2015 จากการที่นายเดล เวกคีโอบงการเอง
เมื่อไม่นานมานี้ นายเดล เวกคีโอ พยายามวางตัวตัวทายาทธุรกิจของเดลฟินด้วยตนเอง ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นนายฟรานเชสโก มิลเลรี ผู้ช่วยที่ได้ชื่อว่าเป็นมือขวาของเขา ที่ดึงตัวมาจากบริษัทที่ปรึกษาด้านไอทีของบริษัท ลุกซอตติกา มาเป็นซีอีโอของ เอสซิลอร์ ลุกซอตติกา
เดลฟินยังถือหุ้น 27% ในบริษัท Covivio ที่มีสำนักงานในกรุงปารีส หลังจากเมื่อปี 2018 เขาควบรวมกิจการบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Beni Stabili กับบริษัทคู่แข่งสัญชาติฝรั่งเศส Fonciere des Region
ศึกสุดท้าย-ชิงธนาคาร
นายเดล เวกคีโอ ยังเป็นผู้ลงทุนในธนาคาร UniCredit มายาวนานโดยถือหุ้นอยู่ 2% และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายเดียวในธนาคารเมดิโอบันกา – Mediobanca ซึ่งบริษัทเดลฟินอยู่ 19.4%.
ไม่เท่านั้น เมื่อปีก่อน มหาเศรษฐีรายนี้ยังเพิ่มจำนวนหุ้นในบริษัทประกันของอิตาลี Generali เป็น 9.8% ไล่รดต้นคอผู้ถือหุ้นอีกคน คือนายฟรานเชสโก กาเอตาโต คัลตาจีโรเน ซึ่งสู้กันชิงตำแหน่งผู้นำ และเชื่อมโยงกับศึกชิงความเป็นใหญ่ในกิจการธนาคาร Mediobanca ที่นายคัลตาจีโรเนถือหุ้นอยู่ด้วย
หลังจากนายเวกคีโอเสียชีวิต จึงเกิดกระแสวิตกว่า บริษัทเดลฟินอาจตัดลดการถือหุ้นในธนาคาร Mediobanca และบริษัทประกัน Generali ลง 3%
สเตฟาโน คาเซลลี อาจารย์วิชาการเงินการคลัง มหาวิทยาลัยบ็อกโคนี เมืองมิลาน กล่าวว่า ทายาทผู้รับมรดกของนาย เดล เวกคีโอ อาจรุกน้อยกว่าสมัยพ่อ ดังนั้น “เราต้องรอดูว่าพวกเขาจะเก็บจำนวนหุ้นเหล่านั้นไว้เท่ากับจำนวนปัจจุบันหรือไม่”
บุคคลที่รู้เรื่องนี้ดี กล่าวว่า การเทหุ้นมีความเป็นไปได้ ยกเว้นว่า นายมิลเลรี มือขวาของนายเดล เวกคีโอ ได้รับการสนับสนุนจากทายาทของนายเก่า เพื่อชิงความเป็นใหญ่ในธนาคาร Mediobanca ตามเจตนารมณ์ของนายเดล เวกตีโอ ให้ได้
เผยประวัติจากดินสู่ดาว
สำหรับประวัติชีวิตเหมือนนิยายของ เดล เวกคีโอ บุคคลที่ทรงอิทธิพลทางการเงินและธุรกิจของอิตาลี เติบโตมาอย่างยากจนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หลังจากพ่อที่เป็นพ่อค้าขายผักผลไม้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ส่วนแม่เลี้ยงลูกไม่ไหว จึงนำมาให้สถานสงเคราะห์ ตอนนั้นเดล เวกคีโอ อายุ 7 ขวบ
เดล เวกคีโอ เรียนงานช่างฝีมือโลหะที่ร้านขายเครื่องมือ เก็บเงินจนเริ่มธุรกิจแว่นตาที่หมู่บ้านอะกอร์โด อยู่เขตปลายเทือกเขาโดโลไมท์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี ตอนนั้นทางการเสนอให้ที่ดินสำหรับผู้ตั้งบริษัทใหม่ในพื้นที่
ช่วงแรกการทำธุรกิจเป็นไปอย่างทุลักทุเล สุดท้ายบริษัทของชายหนุ่มต้องทำแว่นตาเอง ปรากฏว่ากิจการไปได้ดี และขยายตัวอย่างรวดเร็วในยุคทศวรรษ 1980 เดลเวกคีโอเห็นช่องทางขายแว่นที่ไม่ใช่แค่แว่นสายตา แต่เป็นแว่นสำหรับแฟชั่น
ดังระเบิดจากเรย์แบน
เดลเวกคีโอทำสัญญาข้อตกลงกับ จิออร์จิโอ อาร์มานี ยอดนักออกแบบแฟชั่น เมื่อปี 1988 (พ.ศ.2541) และทำงานให้กับแบรนด์หรูชื่อดังอย่าง บุลการี Bulgari, ชาเนล Chanel, ปราดา Prada และวาเลนติโน Valentino
ปี1999 บริษัทสร้างชื่อขจรขจายด้วยแบรนด์แว่นกันแดด เรย์-แบน และเข้าถือกิจการแว่นหรู โอกลีย์ ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอมเริกา พร้อมทำตลาดสาขาในอเมริกาเหนือและออสเตรเลีย
เมื่อนับถึงสิ้นปี 2021 เดล เวกคีโอ ครองอันดับสอง มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในอิตาลี เป็นรองเพียง จิโอวานนี เฟอร์เรโร แห่งกิจการช็อกโกแลต ผู้ผลิตนุตเทลลา Nutella จากการจัดอันดับของฟอร์บส์ สื่อดังสหรัฐ
เดล เวกคีโอได้ชื่อว่า ต้องต่อสู้กับบรรดาบอร์ดอยู่หลายระลอก และการควบรวมกิจการ EssilorLuxottica ทำให้ถูกตั้งคำถามเสมอว่า ได้แบ่งแยกงานระหว่างผู้ผลิตในอิตาลีและผู้ผลิตในฝรั่งเศส
……..