เมื่อมีกระแส Bitcoin Halving ก็ทำให้ตลาดคริปโตทั้งหมดคึกคักตั้งแต่ต้นปี 2024 ชักนำคนหน้าใหม่และหน้าเก่า รวมถึงนักลงทุนรายใหญ่ทยอยเปิดตัวแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลกันอย่างคึกคัก
ดังเช่นกรณีในประเทศไทยที่ยักษ์ใหญ่พลังงาน Gulf จับมือกับยักษ์ใหญ่คริปโตโลก Binance เปิดตัว BinanceTH by Gulf Binance ขึ้น ขณะที่ในต่างประเทศก็ไม่น้อยหน้า มีกองทุนเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ของโลกกว่า 11 กองทุนเปิด Spot Bitcoin ETF ให้นักลงทุนโลกเก่าเข้าถึงการลงทุนในบิตคอยน์ ยังไม่นับว่ามี Spot Ethereum ETF รอการพิจารณาอนุมัติ จากสำนักงานกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา คาดว่าจะรู้ผลเดือน พ.ค. นี้
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
หลายคนเป็นหน้าใหม่ มือใหม่ คงจะเริ่มสังเกตแล้วว่า เวลาราคา Bitcoin ขึ้นมาต่อเนื่อง คริปโตเคอร์เรนซีสกุลอื่นๆ ก็มักจะขึ้นตาม เมื่อราคาบิตคอยน์ตกลงแม้เพียงนิดเดียว ก็ทำให้ราคาคริปโตสกุลอื่น ๆ ร่วงกันระนาว
ทำไมราคาคริปโต ถึงสัมพันธ์กับ Bitcoin ขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่เป็นเหรียญคนละสกุลคนละสินทรัพย์กัน
สื่อกลางการแลกเปลี่ยน
สาเหตุที่ Bitcoin (BTC) แปรผันกับคริปโตอื่นนั้น ก็เพราะ BTC เป็นสื่อกลางใช้แลกเปลี่ยนกับคริปโตเคอร์เรนซี สกุลอื่นมาก่อน เพราะ BTC สามารถพิสูจน์คุณสมบัติการเป็นเงินที่ดี คือ ไม่เสื่อมสภาพ ใช้แทนกันได้ และหาได้ยากหรือมีจำนวนจำกัดจากอุปทานสูงสุด 21ล้าน BTC จะยิ่งยากไปเรื่อยๆ เมื่อผ่านการลดจำนวนทุก 4 ปี หรือ Bitcoin Halving ครั้งแรกในปี 2012 ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดและเริ่มมี “การลอกเลียน” และ “ปรับแต่ง” คุณสมบัติของ Bitcoin ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนรูปแบบใหม่ๆ
สกุลเงินสำหรับอินเทอร์เน็ต หรือสื่อกลางสำหรับโลกดิจิทัล ไม่ได้เพิ่งจะมามี Bitcoin เป็นโปรเจ็กต์แรกในโลก ก่อนหน้านี้มีการพยายามพัฒนา E-Gold และ E-Cash เพื่อใช้ชำระเงินบนโลกอินเทอร์เน็ต แต่เห็นจะไม่สำเร็จเนื่องจากปัญหาสำคัญคือระบบเหล่านั้น “มีเจ้าของ” มีคนควบคุม และคนใช้ต้อง “เชื่อใจ” คนคุมระบบ
แต่ Bitcoin ที่รวมเอาเทคโนโลยีจำนวนมากมาประกอบกันเป็นเครือข่ายการชำระเงินแบบบุคคลสู่บุคคล (A Peer-to-Peer Electronic Cash System) ที่ “ไม่เชื่อใจใคร” เป็นใครก็ได้ที่เข้าร่วมกันเป็นโหนด (Blockchain Node) เป็นเครื่องขุดเป็นคนพิสูจน์ตัวเลข และสมการว่า BTC ไหนจริง และธุรกรรมไหนเกิดจริง และบันทึกธุรกรรมเหล่านั้นให้กระจายไปยังคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่มารวมตัวกันเป็นเครือข่าย เมื่อไม่รู้ว่าใครเป็นใครจึงไม่สามารถ “รวมหัว” กันคุมระบบได้ (51% Attack) เป็นระบบกระจายอำนาจและไร้ศูนย์กลางโดยสมบูรณ์
BTC ในช่วงปี 2010-2014 จึงต้องการใช้แลกเปลี่ยนกับสิ่งของในโลกจริงอย่างพิซซ่า งานภาพสวยๆ หรือแม้กระทั่งสิ่งผิดกฎหมายอย่างยาเสพติด
แน่นอนว่า เมื่อแนวคิดเช่น Bitcoin เกิดขึ้นได้ หมายความว่าใคร ๆ ก็สร้างเงินดิจิทัลมาได้ จึงเกิดคริปโตสกุลต่างๆ อีกมากมายตามมาในช่วง 10 กว่าปีมานี้ ทั้งหลอกลวงบ้าง ล้มเหลวไปเองบ้าง แต่กลุ่มคนที่มีแนวคิดเดียวกับ Bitcoin ก็ยังเชื่อว่า Bitcoin มีความแข็งแกร่งไร้ศูนย์กลางและเหมาะแก่การใช้แลกเปลี่ยนในโลกอินเทอร์เน็ต
เครือข่ายใหม่ ๆ ที่มีเหรียญ หรือ คริปโต (Alt Coin) ที่กำเนิดขึ้นมา ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มคนที่ยังเชื่อว่า BTC ยังคงเป็นแกนหลักในเรื่องการไร้ศูนย์กลาง และเพียงต้องการใช้คุณสมบัติบางประการเพื่อช่วยในการทำธุรกรรม และการพิสูจน์ธุรกรรม เพื่อให้เหรียญมีความเร็วขึ้น อย่างเช่นโปรจ็กต์ SRP หรือแม้แต่การบันทึกสัญญาอัจฉริยะลงบนบล็อกเชนที่กระจายอำนาจสูง เพื่อให้เครือข่ายเป็นคอมพิวเตอร์ของโลก อย่าง Ethereum (เหรียญคริปโตอันดับสองของตลาด) ก็ล้วนเกิดจากวัตถุประสงค์ที่ต่างจาก BTC
และต้องไม่ลืมว่าในช่วงแรกของตลาดคริปโต การซื้อหา Bitcoin ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ หากไม่ลงทุนขุดหามาเองก็ต้องมีวิธีการแลกเปลี่ยนที่ซับซ้อน โปรเจ็กต์คริปโตอื่นๆ ก็เช่นกัน การซื้อขายต้องซื้อขายกับเว็บไซต์ของผู้พัฒนาโดยตรง ทำให้เงินเฟียต (Fiat) หรือค่าเงินกระดาษในปัจจุบันเข้าสู่โลกคริปโตได้ยาก
และด้วย BTC เกิดมาก่อนใคร และเริ่มมีมูลค่าให้เทียบเคียงจึงมีการใช้ BTC เป็นสื่อกลางซื้อขายคริปโตอื่นๆ โดยคู่เทรดมักจะมี BTC/ETH, BTC/XRP, BTC/ADA เป็นต้น
ดังนั้น ในช่วง Halving ครั้งแรกๆ เมื่อผู้ถือครอง BTC มีกำไรจากการที่อุปทานลดลง ก็มีความต้องการแบ่งสัดส่วนการลงทุน ก็จะซื้อคริปโตอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนโปรเจ็กต์ที่ต้องการเปลี่ยนระบบการเงิน และเทคโนโลยีแบบมีศูนย์กลางต่างๆ นี้ โดยใช้ BTC เป็นค่ากลางทำให้มูลค่าของคริปโต และ BTC แปรผันตามกันนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ต้นกำเนิด Stable Coin
ดังที่กล่าวไปว่าการที่เงินธรรมดาในธนาคารจะเข้าสู่โลกคริปโตทำได้ยากมาก ช่องทางการซื้อหา Bitcoin ยังยาก เหรียญอื่นๆ ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ และด้วยตลาดขนาดเล็กยิ่งทำให้ราคาผันผวนมากกว่า 10% ในหนึ่งชั่วโมง จึงถูกครอบงำโดย BTC ซึ่งมีผู้ถือครองมากกว่าได้ง่าย
จนกระทั่ง ในช่วงปี 2014 ก็มีการพยายามหาวิธีแก้ปัญหาด้วยสิ่งที่เรียกว่า Stable Coin เนื่องจากคริปโตมีความผันผวนสูง Stable Coin ที่ตรึงมูลค่าไว้กับสินทรัพย์ในโลกจริงจะเหมาะกับการแลกเปลี่ยนมากกว่าใช้ Bitcoin โดยตรง จึงมีความคิดว่าน่าจะมีเหรียญคริปโตที่มีค่าเท่าเงินจริง
Stable Coin แบ่งกว้างๆ ได้ 4 แบบ 1. Fiat-Backed Stablecoins อ้างอิงมูลค่าตามเงินเฟียต 2. Cryptocurrency-Backed Stablecoins 3. Algorithmic Stablecoins และ 4. Commodity-Backed Stablecoins
เหรียญ Stablecoins ยอดนิยม ชื่อ USDT เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ โดยการตรึงมูลค่ากับเงินเฟียตดอลล่าสหรัฐฯ โดยตรง และเอาเงินสำรองไปเก็บไว้ในคลังแล้วก็สร้างเหรียญออกมา เรียกได้ว่าตอนนี้กลายเป็นเหรียญหลักที่ใช้แลกเปลี่ยนในตลาดเลย เฉพาะ USDT มีมูลค่ารวมราวหนึ่งแสนล้านเหรียญสหรัฐ และยังมีสกุลหลักประเภทเดียวกัน เช่น USDC ราว 3.2 หมื่นล้านเหรียญ
นวัตกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงใกล้จะ Halving ครั้งที่ 2 ในปี 2016 เหมือนกับในปีนี้ที่บริษัทยักษ์ใหญ่เริ่มเปิดตัวโปรดักส์ในช่วงก่อน Halving อย่าง BinanceTH by Gulf Binance นี่เอง
ยุคนี้ Ethereum ได้ทำให้เกิดโทเคนดิจิทัลอีกนับพันสกุล เนื่องจากกลไกสมาร์ทคอนแทร็ค ยิ่งทำให้ Stablecoins มีความสำคัญสำหรับแลกเปลี่ยน
ช่วงปี 2016-2017 การเกิดขึ้นของ Stable Coin ยังนำมาซึ่งยุครุ่งเรืองของ “กระดานเทรด” คริปโต ที่ทำให้คนทั่วไปใช้สกุลเงินในโลกจริงซื้อขาย BTC และคริปโตอื่นๆ ได้ง่ายขึ้นในปัจจุบัน แพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง Binance.com ก็เกิดในช่วงเวลานี้ เปิดช่องทางให้ผู้คนเข้าถึงคริปโตเคอร์เรนซีด้วยเงินธรรมดาในกระเป๋า ไม่ต้องถือ BTC อีกต่อไป
แต่แม้ Bitcoin จะลดอำนาจครอบงำ คริปโตอื่นๆ แต่กระแส Bitcoin Halving ก็ยังส่งผลต่อมูลค่าของคริปโตอื่นอยู่มาก สะท้อนว่าในอุตสาหกรรมยังเชื่อมั่นที่จะเก็บมูลค่าไว้ใน Bitcoin อยู่
อำนาจเหนือตลาดของ Bitcoin
อำนาจเหนือตลาดของ BTC ลดลงมาเรื่อยๆ ตามดัชนี BTC.d ที่เริ่มเก็บข้อมูล และใช้กันในช่วงปี 2014 คือช่วงที่เริ่มมี Alt Coin เกิดขึ้น ดัชนี้นี้สามารถบอกได้ว่าในตลาดคริปโตเคอร์เรนซีทั้งหมดมีสัดส่วนของ BTC ครอบงำอยู่เท่าไหร่ และยังช่วยบอกได้ด้วยว่า ในช่วงที่สัดส่วน BTC ตกลงในระยะสั้น เงินจาก BTC จะไหลไปหาคริปโตอื่นๆ หรือ Alt Coin Season ก็เพราะว่าคริปโตอื่นๆ และ BTC มีความสัมพันธ์กันอยู่ และคนในชุมชนคริปโตยังเชื่อว่าคนที่ครอง BTC จะไม่แปลงคริปโตกลับไปเป็นเงินเฟียตโดยง่ายทำให้เงินยังคงอยู่ในตลาดคริปโต
แต่จากสถิติช่วงปี 2014 BTC ยังครอบงำตลาดมากกว่า 95% ขึ้นไป และเริ่มลดอัตราลงเรื่อย ๆ ในรอบปี 2015-2016 โดย BTC ครอบงำตลาดเพียง 60-70% ขณะที่ในปัจจุบัน BTC ครองส่วนแบ่งตลาดแถว ๆ 53% เท่านั้น
แนวโน้มดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า การเข้ามาของ Stablecoins และศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่เปิดโอกาสให้คนทั่วไปเข้าถึงคริปโตอื่นๆ หรือเหรียญทางเลือกอื่นๆ ตามที่ตัวเองชอบ ไม่ว่าจะเป็นเหรียญประจำบล็อกเชนใหม่ๆ เหรียญมีม หรือเหรียญสำหรับเล่นเกม ล้วนส่งผลต่อการแย่งชิงส่วนแบ่งจาก BTC
จึงน่าจับตามองว่า การที่นักลงทุนรายใหญ่ และบริษัทพลังงานอย่าง GULF สถาบันการเงิน และกองทุนเฮดฟันด์ใหญ่ๆ ของโลกที่กำลังเข้าสู่โลกคริปโตเคอร์เรนซีในวัฎจักร Bitcoin Halving ครั้งนี้ จะทำให้ “อำนาจเหนือตลาด” ของ BTC เปลี่ยนไปหรือไม่
และหากเป็นไปตามแนวโน้ม เชื่อว่าอีกไม่นานเราคงได้เห็น Bitcoin และ Alt Coin แยกทางกันเดินได้เสียที