มหาธีร์ โมฮัมหมัด เปิดศึก “ทวงคืนอำนาจ” แดนเสือเหลือง

การกลับมาของ “ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด” รัฐบุรุษแห่งมาเลเซีย แคนดิเดตคนสำคัญในการเลือกตั้ง วันที่ 9 พฤษภาคมนี้ ทำให้การเมืองดินแดนเสือเหลืองนั้นดุเดือดอีกครั้ง โดยเปิดฉากด้วยคำสาบานที่ว่า “พร้อมกลับมาปราบคอร์รัปชั่น และปฏิวัติมาเลเซียจากเรื่องน่าละอายของนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก”

นานาชาติต่างลุ้นว่าการเลือกตั้งมาเลเซียครั้งนี้จะเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองมาเลเซียไปมากน้อยเพียงใด

บทสัมภาษณ์ของ “ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด” อดีตนายกรัฐมนตรี วัย 92 ปี ซึ่งดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด 22 ปี นับตั้งแต่ปี 1981-2003 เปิดใจกับ “เดอะ การ์เดียน” สื่อชื่อดังของอังกฤษว่า “การเลือกตั้งครั้งนี้สามารถพูดได้ว่าเป็นศึกการเลือกตั้งส่วนตัว”

ดร.มหาธีร์อธิบายต่อว่า การกลับมาสู้ศึกเลือกตั้งในครั้งนี้ เขาไม่ได้เต็มใจนัก เพราะด้วยวัย 92 ปีนั้นควรเป็นช่วงเวลาที่ดีในการพักผ่อน และรามือจากเรื่องน่าปวดหัว แต่เพราะถูกทรยศจากนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก รวมทั้งหลายฝ่ายที่ไม่พอใจในการบริหารของนาจิบ จึงเรียกร้องให้เขากลับมาเพื่อทวงคืนอำนาจ

“สิ่งที่ผมทำเมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในตำแหน่งกว่า2 ทศวรรษ ตั้งแต่การวางรากฐานพัฒนาประเทศ และนำพามาเลเซียไปสู่ความทันสมัยด้วยการยกระดับให้เป็นประเทศอุตสาหกรรม จนเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ ขณะนี้กำลังถูกคนทุจริต นำประเทศดิ่งลงเหว” ดร.มหาธีร์กล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น

โดย นายนาจิบ ราซัก วัย 64 ปี เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 2009 จนถึงปัจจุบัน โดยตลอดระยะ 9 ปีที่ดำรงตำแหน่ง นับว่าเป็นผู้นำมาเลเซียที่บั่นทอนความเชื่อมั่นแก่สายตานานาชาติมากที่สุดคนหนึ่ง โดยเฉพาะกรณีการฉ้อฉลเงินกองทุน 1MDB มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนายกฯนาจิบให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

“ความน่าอับอายที่สุด คือ การสืบสวนของรัฐบาลมาเลเซียกลายเป็นความน่าขันต่อสายตาโลก นาจิบไม่ใช่คนเดิมที่ผมรู้จักอีกต่อไป” รัฐบุรุษวัย 92 ปีกล่าว

กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ที่ชื่อว่า 1Malaysia Development Berhad หรือ 1MDB เป็นกองทุนของรัฐบาลนาจิบ จัดตั้งขึ้นมาเพื่อแสวงหากำไร โดยอ้างว่ากองทุนแห่งนี้จะทำให้กรุงกัวลาลัมเปอร์เป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค และคาดหวังให้มาเลเซียเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2020 แต่กองทุนนี้แตกต่างจากกองทุนความมั่งคั่งของประเทศอื่น คือใช้เงินกู้ แทนที่จะเป็นเงินจากทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ดังนั้นกองทุนนี้จึงได้สร้างหนี้มหาศาลแก่รัฐบาลมาเลเซีย โดยยอดหนี้ในปี 2015 เป็นมูลค่ากว่า 4.2 หมื่นล้านริงกิต

ดร.มหาธีร์กล่าวต่อว่า “นาจิบทำให้มาเลเซียกลายเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่มีการทุจริตมากที่สุดในโลก จึงเป็นเหตุผลที่ผมต้องการโค่นอำนาจเขา และนานาชาติต้องรับรู้ความผิดร้ายแรงที่ชายผู้นี้ทำ ทั้งการฉ้อโกงเงินที่ไม่ใช่หลักร้อยล้านดอลลาร์ แต่มันคือหลายพันล้านดอลลาร์ที่ถูกยักยอกและโอนไปยังบัญชีของนาจิบ พวกเรามีหลักฐานที่ตรวจสอบจากทั้งมาเลเซียและสหรัฐอเมริกา แต่ทำไมคนร้ายถึงยังลอยนวล ?”

“บุคคลที่มีความคิดว่า เงินคือพระเจ้า จะสามารถเป็นผู้นำประเทศ โดยปราศจากความชอบธรรมและโปร่งใสได้อย่างไร” เสียงนุ่มแต่สีหน้าเจ็บปวดของอดีตผู้นำประเทศ

ขณะที่นิตยสาร FinanceAsia ของฮ่องกง เคยจัดอันดับให้ “นาจิบ ราซัก” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมาเลเซีย เป็นรัฐมนตรีการคลังที่มีผลงานแย่ที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิก โดยประเมินจากมาตรการรับมือปัญหาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันขาลง และข้อกล่าวหาคดีทุจริตกองทุน 1MDB

ประกอบกับเสียงสะท้อนจากภาคประชาชนที่ชี้ว่า ค่าครองชีพสูงลิ่วจากการขึ้นภาษีบริโภค ราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่หนี้ครัวเรือนโตต่อเนื่อง ไม่สมดุลกับรายรับ เหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการวัดความสามารถการเป็นนายกรัฐมนตรีของนายราจิบอีกครั้ง

ดร.มหาธีร์กล่าวทิ้งท้ายว่า เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถโค่นนาจิบออกจากตำแหน่งได้ แม้พรรคฝ่ายค้านจะไม่เคยชนะการเลือกตั้งมาก่อน

ขณะที่ตนไม่คาดคิดว่าจะได้รับการยอมรับจากพรรคฝ่ายค้าน ทั้งตนเองก็ไม่เคยคิดจะยอมรับการเป็นส่วนหนึ่งของพรรคฝ่ายค้านด้วยเช่นกัน แต่ความมุ่งมั่นเดียวกันของเรา คือ การโค่นอำนาจ นาจิบ ราซัก ทำให้พรรคฝ่ายค้านมีความเข้มแข็งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน