ผู้นำสหรัฐฯ “หลงตัวเอง” มากขึ้นเท่าไหร่ สงครามยิ่งยืดเยื้อนานขึ้นเท่านั้น

ผลวิจัยทางจิตวิทยาการเมืองชิ้นล่าสุดพบว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองและห่วงภาพลักษณ์สูง มักจะไม่ยอมยุติสงครามที่ตนก่อขึ้นง่าย ๆ หากยังไม่สามารถประกาศชัยชนะได้ ทำให้สงครามหลายครั้งในประวัติศาสตร์โลกยืดเยื้อยาวนานอย่างไร้เหตุผล

ศาสตราจารย์ จอห์น พี. ฮาร์เดน นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตต (OSU) ของสหรัฐฯ ตีพิมพ์ผลการศึกษาข้างต้นในวารสาร Journal of Conflict Resolution โดยระบุว่า

“ผู้นำที่หลงตัวเองอย่างสูงจะทำสงครามต่อไปเรื่อย ๆ อย่างดื้อรั้น ตราบใดที่ไม่สามารถหาทางประกาศชัยชนะในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งได้ เพราะพวกเขาต้องการรักษาภาพลักษณ์ของผู้นำเปี่ยมความสามารถ แข็งแกร่ง และเป็นวีรบุรุษเอาไว้ต่อไป”

ทหาร

ที่มาของภาพ, Getty Images

มีการวิเคราะห์บุคลิกภาพของประธานาธิบดีสหรัฐฯ 19 คน ซึ่งอยู่ในตำแหน่งระหว่างปี 1897-2009 ว่ามีลักษณะของคนหลงตัวเองมากน้อยเพียงใด และบุคลิกภาพเช่นนี้มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับระยะเวลาที่พวกเขาใช้ทำสงครามหรือไม่ โดยใช้ข้อมูลที่อ้างอิงจากหนังสือหรือเอกสารประวัติส่วนบุคคล

สิ่งที่ชี้วัดว่าผู้นำสหรัฐฯ แต่ละคนหลงตัวเองหรือไม่ ขึ้นอยู่กับระดับความชัดเจนของนิสัยชอบแสดงอำนาจและแสวงหาความตื่นเต้นสูง แต่ในขณะเดียวกันคนกลุ่มนี้มักจะมีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่ำ รวมทั้งไม่ค่อยประนีประนอมและตรงไปตรงมานัก

U.S. flag

ที่มาของภาพ, Getty Images

ก่อนหน้านี้นักจิตวิทยามองว่ามีคนหลงตัวเองอยู่สองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่คนหลงตัวเองที่เปราะบาง (vulnerable narcissist) ซึ่งมีความกังวลสูงและอ่อนไหวต่อคำวิจารณ์ จนต้องสร้างเรื่องโอ้อวดขึ้นเพื่อป้องกันตัว ส่วนคนหลงตัวเองแบบยกตนให้ยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่น (grandiose narcissist) กลับมีความนับถือชื่นชมตนเองสูง และมักโอ้อวดเพราะรู้สึกว่าตนเหนือกว่าใครอย่างแท้จริง ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ทำสงครามยืดเยื้อมักมีบุคลิกภาพแบบหลังนี้

ผลวิเคราะห์พบว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอดีตที่มีบุคลิกภาพหลงตัวเองในระดับต่ำ ได้แก่ประธานาธิบดีวิลเลียม แม็กคินลีย์ และประธานาธิบดีดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ซึ่งนำพาสหรัฐฯ ยุติสงครามเกาหลีได้อย่างรวดเร็ว โดยผู้นำแบบนี้จะเห็นแก่ผลประโยชน์ของรัฐมาเป็นอันดับหนึ่ง และจะใช้สงครามแก้ปัญหาเป็นทางออกสุดท้าย

ในทางตรงกันข้าม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีบุคลิกภาพหลงตัวเองสูง อย่างเช่นประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลต์ และประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ซึ่งขยายเวลาการทำสงครามเวียดนามออกไปนานหลายปี ไม่สามารถจะแยกแยะเรื่องผลประโยชน์ส่วนรวมกับภาพลักษณ์ส่วนตัวได้ดีนัก

โดยรวมแล้วประธานาธิบดีสหรัฐฯ 8 คน ที่มีคะแนนบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองสูงสุดในกลุ่ม ใช้เวลาทำสงครามอย่างยาวนานเฉลี่ยครั้งละ 613 วัน ในขณะที่ผู้ได้คะแนนบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 11 คน ใช้เวลาทำสงครามเพียง 136 วัน

“ผู้นำไม่ได้ใช้เหตุผลในการตัดสินใจยามสงครามเสมอไป พวกเขามีความทะเยอทะยานสูงและหมกมุ่นกับภาพลักษณ์ของตนเองอย่างยิ่ง ข้อผิดพลาดที่เกิดจากความมั่นใจในตนเองจนเกินเหตุ นำไปสู่ความเสียหายในสงครามและสร้างแรงกดดันที่ยิ่งทำให้คนหลงตัวเองเครียดและทำผิดมากขึ้น ทำให้สงครามต้องยืดเยื้อออกไปโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร” ศ. ฮาร์เดนกล่าว

……….

ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว