“The Mummy” เชื่อมจักรวาล Dark Universe ได้น่าสนใจ แต่สอบตกในฐานะหนัง “มัมมี่”

The Mummy ถือเป็นหนังเปิดตัว “Dark Universe” โปรเจ็กต์รวมตัวสายดาร์ก ปีศาจมอนสเตอร์จากค่าย ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส อย่างเป็นทางการ แม้จะเคยเปิดตัวด้วย Dracula Untold ไปก่อนหน้านี้ก็ตาม ซึ่งในจักรวาลนี้ หลักๆ จะมีดาวดังอย่าง Dracula, Frankenstein, Mummy, The Invisible Man, The Wolf Man ที่จะถูกนำกลับมาปัดฝุ่นสร้างใหม่อีกครั้ง ซึ่งเรื่องต่อไปที่แฟนๆ จะได้ดู เป็น The Invisible Man หรือ “มนุษย์ล่องหน” ที่ได้จอนนี่ เดปป์ มาแสดงนำ ซึ่งมีกำหนดฉายปี 2018

สำหรับ The Mummy เวอร์ชั่น 2017 ยอมรับเลยว่า … ทันทีที่ดูตัวอย่าง มันช่างดูไม่มีกลิ่นอายความเป็นหนังมัมมี่เอาซะเลย แถมยังจับเอาพระเอก “ทอม ครูซ” มาวิ่งหนีผีดิบ ฝ่าพายุทราย เสี่ยงกับระเบิด ที่มีฉากหลังเป็นลอนดอน เหมือน Mission Impossible เวอร์ชั่นผีดิบมัมมี่ แต่ความน่าสนใจอยู่ที่มัมมี่เวอร์ชั่นหญิงสาวที่ดูแปลกตาไปพอสมควร


โดยรวมหนังพอดูได้สนุกเพลินๆฉากแอ็คชั่นอลังการแต่กลับมีปัญหาที่เรื่องบทที่แกว่งไปมาตลอดทั้งเรื่อง และในฐานะหนังมัมมี่ ถือว่า “สอบตก” เนื่องจากหนังมองถึงการปูทางไปยัง Dark Universe มากเกินกว่าจะปราณีตทำเรื่องเปิดตัวออกมาให้ดี หลายๆ อัตลักษณ์ หรือเสน่ห์ที่หนังมัมมี่ “ควรจะมี” และหยิบมาเล่นได้มากกว่านี้ แม้บางฉากจะใส่มาพอให้คิดถึงต้นฉบับได้บ้าง แต่หนังก็ดูรวบรัดที่จะเล่า จนรู้สึกไปไม่สุด และเป็นเหมือน “ทางผ่าน” มากกว่าการเปิดตัวที่น่าประทับใจ

ตัวละคร “อาร์มาเนต” เป็นมัมมี่ที่ไม่ได้ขายอะไรไปมากกว่าความเซ็กซี่ ของ “โซเฟีย โบเทลล่า” ในส่วนของดราม่าระหว่างเป็นมนุษย์ ก็ไม่สามารถดึงคนดูได้มากพอ แถมหนังยังโดนตัวละครเพื่อนร่วม Universe แย่งซีนความเด่นและน่าสนใจแบบกระจุยกระจาย


อีกทั้งหนังพยายามปั้นให้เป็นโทน”มอนสเตอร์ฮีโร่”มากกว่าหนังผีดิบ จึงมีความมึนงงของบทพอสมควร จนหนังไม่สามารถก้าวผ่านหนังที่ดู “สนุก” เรื่องหนึ่งเท่านั้น ไม่นับเรื่องความสมเหตุสมผล เพราะหนังแนวนี้เว่อร์อยู่แล้ว อยู่ที่จะทำออกมาสนุกมั้ยมากกว่า … แต่ยอมรับว่าการปูทางไปยัง Dark Universe นั้น หนังปูเรื่องไว้น่าสนใจมากๆ

 
ในส่วนแคสติ้ง ไม่ใช่ว่า “ทอม ครูซ” ไม่เหมาะ หรือไม่ดี แต่ผู้เขียนสลัดภาพ “อีธาน ฮันท์” ออกจากหัวไม่ได้เลย แถมมีฉากแอ็คชั่นเสี่ยงตายเวอร์ๆ วิ่งหนีระเบิดก็ยิ่งใช่ นี่มัน MI เวอร์ชั่นผีดิบชัดๆ อีกอย่างบทและตัวละครค่อนข้างมีปัญหาพอสมควร จึงทำให้ตัวละครในเรื่องนี้ ไม่มีใครน่าสนใจ โดยเฉพาะคู่พระนาง ที่พยายามมีซีนน่ารักๆ กุ๊กกิ๊ก ก็ยิ่งชวนให้นึกถึงเคมีคู่ของ “แบรนเดน เฟรเซอร์-ราเชล ไวซ์” ในเวอร์ชั่นปี 1999 ที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ขัน ความน่ารัก และทำให้คนดูลุ้นเอาใจช่วยตัวละครมาก

ส่วนฉากแอ็คชั่นสนุกดีแต่ไม่มีฉากไหนน่าจดจำหรือจบแล้วต้องพูดถึง มันธรรมดาไปหมด ทีแรกนึกว่าหนังจะมาโทนซีเรียส จริงจัง แต่จริงๆ ยิงมุขกันทั้งเรื่อง บางซีนยัดมุขมาแบบผิดที่ผิดทางมาก จนอดเทียบกับเวอร์ชั่นปี 99 ที่จังหวะกลมกล่อมกว่านี้เยอะ

 
ส่วนที่ชอบเป็นโลเคชั่น ที่หนังพาตัวเองออกจากอียิปต์ มาบู๊กันในลอนดอน สร้างความแปลกตา และน่าตื่นเต้นให้กับหนังมัมมี่ได้บ้าง โดยรวมเป็นหนังป็อปคอนที่ดูได้เพลินๆ มีฉากแอ็คชั่นให้พอตื่นเต้น และความน่าสนใจของการปูทางไปสู่ Dark Universe ที่น่าติดตาม