คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ
ราชกิจจานุเบกษาเล่ม 141 ตอนพิเศษ 116 ง ลงวันที่ 28 เมษายน 2567 ประกาศให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรีมีรายชื่อ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี และ ให้แต่งตั้ง นายปานปรีย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถูกเผยแพร่ออกมานั้น ปรากฏในวันเดียวกันนั้น นายปานปรีย์ ได้ทำหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรีเรื่อง ขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแบบทันทีทันใด
หนังสือลาออกของ นายปานปรีย์ แจ้งความประสงค์ขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและทุกตำแหน่งที่ได้รับมอบหมายเพื่อเปิดทางให้ท่านอื่นเข้ามาดำรงตำแหน่งแทน พร้อมกับแสดงความเชื่อว่า การถูกปรับออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีไม่เกี่ยวกับการไม่มีผลงาน เนื่องจากที่ผ่านมาสามารถตอบสนองต่อนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก
- จีนแบน 3 บริษัทสหรัฐ ห้ามทำการค้า ห้ามผู้บริหารเข้าประเทศ
- วิธีลงทะเบียนแอป ทางรัฐ ยืนยันตัวตน รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท
- ครม.ไฟเขียว เวนคืนที่ดิน สายไหม-คลองสามวา สร้างทางพิเศษส่วนต่อขยาย
ทำให้ประเทศไทยหวนกลับขึ้นมาอยู่บนจอเรดาร์ของโลก มีมิตรประเทศเพิ่มขึ้นและมีนักลงทุนต่างชาติสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
นอกจากนี้หนังสือลาออกของ นายปานปรีย์ ยังกล่าวถึงการให้ความสำคัญกับคนไทยในต่างประเทศ การนำคนไทยผู้ถูกจับเป็นตัวประกันในอิสราเอลกลับบ้านได้ถึง 23 คน แรงงานไทยจาก เล่าก์ก่าย ในเมียนมาอีก 1,000 คน การเปิดวีซ่าฟรีกับหลายประเทศ แต่ที่สำคัญและเป็นงานที่ยังไม่เสร็จสิ้นก็คือ การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวเมียนมา โดยก่อนหน้านี้ นายปานปรีย์เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์อันเนื่องมาจากความไม่สงบในเมียนมา
โดยคณะกรรมการเฉพาะกิจชุดนี้จะมีบทบาทสำคัญในการดำเนินการทาง การทูตเชิงรุก ที่กำลังจะวางบทบาทประเทศไทยในการเป็น คนกลาง ประสานงานให้เกิดมีการประชุมไตรภาคีหรือ “ทรอยก้าพลัส” เปิดกว้างให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าร่วมการหารือเพื่อหาแนวทางการสร้างสันติภาพในเมียนมา
ดังนั้นการพ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ ทุกตำแหน่ง รวมถึง ประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์อันเนื่องมาจากความไม่สงบในเมียนมา ซึ่งจะเป็น “งานใหญ่” ที่เกี่ยวกับความไม่มั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ-การเมืองและการยุติความรุนแรงในเมียนมา จึงเป็นที่จับตาของประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศผู้เกี่ยวข้องถึงทิศทางนโยบายการต่างประเทศของประเทศไทย
สมควรที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่จักต้องเร่งทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะไม่กระทบต่อนโยบายการต่างประเทศของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเกี่ยวกับเมียนมา พร้อมเร่งดำเนินการสืบสานนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุกและการดูแลคนไทยในต่างแดนที่รัฐบาลชุดนี้ได้ดำเนินการมาเพื่อให้เกิดการต่อเนื่อง