ซี.พี.นำองค์กรสู่ความยั่งยืน ตั้ง CP Social Impact Fund

นับเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ประกาศเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งนั้นเพราะหลังจากบริษัทในเครือไม่ว่าจะเป็น บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ “ซีพีเอฟ”, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices-DJSI) ประจำปี 2560

ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความยั่งยืนระดับโลกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เพราะฉะนั้น ในบริบทต่อไปของเครือเจริญโภคภัณฑ์ไม่ว่าจะเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ การจับมือกับพันธมิตรธุรกิจ คู่ค้า หรือการดำเนินตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) จะมีความชัดเจนยิ่งขึ้น

ทั้งยังเป็นโอกาสเปิดที่จะทำให้ธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์กว่า 13 กลุ่มธุรกิจ ใน 20 ประเทศ จะสยายปีกไปได้อีกไกล เพราะนอกจากจะมี DJSI เป็นสัญลักษณ์ในการรับรองมาตรฐาน หากเครือเจริญโภคภัณฑ์ยังถูกการยอมรับจากสภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (World Business Council on Sustainable Development-WBCSD) ด้วยรายงานผลคะแนนความยั่งยืนของบริษัทต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิก โดยพบว่าเครือเจิญโภคภัณฑ์มีคะแนนสูงถึง 72.2% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงกับคะแนนสูงสุด 10 อันดับแรกที่มีคะแนนอยู่ระหว่าง 78-82%

รวมถึงการที่บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ “ซีพีเอฟ” และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน FTSE4Good Emerging Index และอื่น ๆ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ทำให้ “ศุภชัย เจียรวนนท์” ประธานคณะบริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการบริหารบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมกับผู้บริหารระดับสูงอีก 3 กลุ่มธุรกิจที่ได้รับ DJSI

โดยย้ำว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนใน 13 กลุ่มธุรกิจ จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2563 ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 เรื่องด้วยกัน คือ

หนึ่ง heart ความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจด้วยใจที่ยั่งยืน
สอง health ความมุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน
สาม home ความมุ่งมั่นเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

มองเผิน ๆ เหมือนไม่มีอะไร เพราะเป็นการเดินตามโรดแมปเพื่อก้าวไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ระหว่างทางที่เครือเจริญโภคภัณฑ์กำลังเดินไปข้างหน้า “ศุภชัย” กลับมีความคิดที่จะสร้างกองทุนพัฒนาเพื่อสังคมขึ้นมา ภายใต้ชื่อ “CP Social Impact Fund” โดยมีงบประมาณตั้งต้นประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท และพร้อมจะดำเนินการในปี 2561-2565

ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise-SE) ของชุมชนต่าง ๆ ที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ให้การสนับสนุน ขณะที่อีกส่วนหนึ่งจะเป็นการเสาะแสวงหาผู้ประกอบการภายนอกที่มีศักยภาพในการทำกิจการเพื่อสังคม พร้อมกันนั้น หากประสบความสำเร็จในระยะยาวอาจมองไปที่ประเทศต่าง ๆ ที่เครือเจริญโภคภัณฑ์เข้าไปดำเนินธุรกิจด้วย

“ศุภชัย” บอกว่า CP Social Impact Fund นอกจากจะเป็นการรวมการลงทุนต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายให้มาอยู่ในกองทุนเดียวกัน หากยังจะพัฒนากองทุนนี้ให้เกิดการเชื่อมโยงกับ ecosystem หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่เรามีองค์ความรู้เข้าไปช่วยด้วย

“ตอนนี้เราเล็งไปที่ผู้นำชุมชนต่าง ๆ ที่มีความเข้มแข็ง หรือนักธุรกิจรายย่อยที่เขามี business model ที่ดี หรือใช้ได้ เราจะเข้าไปช่วยเหลือ เพราะอย่างที่บอกเรามีองค์ความรู้ เรามีการบริหารจัดการ เรามีตลาด และเราก็มีเทคโนโลยีที่สามารถช่วยพวกเขาได้ โดยมีระยะเวลาในการช่วยเหลือประมาณ 10 ปี”

ถึงกระนั้น เมื่อถามว่าแล้วมีการนำองค์ความรู้เรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนไปเชื่อมโยงกับกลุ่มธุรกิจอื่นในเครือบ้างหรือไม่ “ศุภชัย” บอกว่า เราแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันตลอด หลายโปรเจ็กต์เราทำงานร่วมกัน และเราเองยังให้ความสำคัญกับเรื่องรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award-TQA) โดยเฉพาะเรื่อง TQA จะอยู่ในส่วนของ CP Excellence ที่เราจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง

“เพราะองค์กรของเราให้ความสำคัญกับคน และเครือเจริญโภคภัณฑ์มีคนเป็นแสน เราจะต้องให้ความสำคัญกับเป้าหมายก่อน ซึ่งเป้าหมายคือการสื่อสาร เราเชื่อว่าทุกคนมี intention ที่ดีอยู่แล้ว เพียงแต่เขาอาจมีมุมมองที่แตกต่างกัน หรืออาจยังไม่มีเป้าหมาย เพราะฉะนั้น เมื่อเรา respond จากทุกภาคส่วน ทำให้เห็น เขาจะมีความภูมิใจนอกเหนือจากงานประจำที่ทำ ผมจึงเชื่อว่าการวางเป้าหมาย การกำหนดทิศทาง การวัดผล และมีกระจกส่องตัวเองเป็นระยะ ๆ จะทำให้สิ่งที่กระจัดกระจายมีพลังขึ้น”

แต่ทั้งนี้ต้องใช้เวลา ซึ่งเหมือนกับการเดินไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน

จึงไม่แปลกที่ “ศุภชัย” จึงวางตัวเองเป็นนักเรียนรู้ เพราะผมเชื่อว่าทุกคนเป็นโค้ชผมหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นท่านประธานธนินท์ เจียรวนนท์, ดร.อาชว์ เตาลานนท์, คุณอดิเรก ศรีประทักษ์, คุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ผมคิดว่าถ้าเราเคารพซึ่งกันและกัน ทุกคนเป็นโค้ชเรา เป็นครูเรา คำพูดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ท่านประธานธนินท์พูดตลอด ขนาดท่านอายุขนาดนี้ ยังสามารถเรียนรู้จากคนอายุน้อยกว่าได้ และเป็นครูของท่านได้

“ผมเองก็เช่นกัน”