ลูกน้องไม่อยากทำโอที

โดย ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ http://tamrongsakk.blogspot.com

ผมว่าปัญหาที่จั่วหัวมาข้างต้นนี้คงจะเกิดกับหัวหน้างานหลาย ๆ คนใช่ไหมครับ ?

ก่อนอื่นเราลองมาทำความเข้าใจกันในเรื่องของโอทีกันก่อนดีไหมครับ

1.โดยเจตนารมณ์ของกฎหมายแล้ว ไม่ต้องการให้ลูกจ้างทำโอทีนะครับ ลองดูตามมาตรา 24 ตามนี้สิครับ

“มาตรา ๒๔ ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราว ๆ ไป

ในกรณีที่ลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไปถ้าหยุดจะเสียหายแก่งาน หรือเป็นงานฉุกเฉิน หรือเป็นงานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง นายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้เท่าที่จำเป็น”

เห็นไหมครับว่าในวรรคแรกของมาตรานี้ก็บอกเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า “ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราว ๆ ไป”

การที่ลูกจ้างยินยอมทำโอทีก็มักจะต้องมีการทำใบขออนุมัติทำโอทีโดยลูกน้องทำมาแล้วส่งให้หัวหน้าอนุมัติเสียก่อน

ดังนั้นถ้าลูกจ้างไม่อยากทำโอทีก็ย่อมจะปฏิเสธได้นะครับ เว้นแต่จะมีลักษณะงานเป็นไปตามวรรคสองของมาตรานี้คือ ถ้างานที่ทำจำเป็นต้องทำติดต่อกันไป ถ้าหยุดจะเสียหาย หรือเป็นงานฉุกเฉิน หรือเป็นงานตามที่กำหนดในกฎกระทรวง เช่น งานโรงแรม สถานมหรสพ งานขนส่ง ร้านอาหาร สโมสร สมาคม สถานพยาบาล ที่นายจ้างอาจสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้เท่าที่จำเป็น

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ลูกจ้างอยากจะทำโอทีเพราะจะได้เงินค่าโอ (ที) เป็นรายได้เพิ่มขึ้นอยู่แล้วแหละครับ

2.การคำนวณค่าโอทีก็ต้องเป็นไปตามมาตรา 61-63 (ไปหาอ่านในกฎหมายแรงงานเพิ่มเติมนะครับ)

3.เมื่อทำโอทีไปแล้ว บริษัทก็ต้องจ่ายค่าโอทีไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง ตามมาตรา 70

4.การทำโอทีต้องไม่เกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

พอรู้หลักเบื้องต้นอย่างนี้แล้วถามว่า ถ้าทำโอทีแล้วได้เงินเพิ่ม แต่ทำไมลูกน้องถึงไม่ยอมทำโอทีล่ะ ?

ผมเลยขอรวบรวมสาเหตุที่ลูกน้องไม่ทำโอที มาดังนี้ครับ

1.ไม่มีระเบียบปฏิบัติการทำโอทีที่ชัดเจน แต่ใช้วิธีปฏิบัติแบบเคยทำมายังไงก็ทำไปอย่างงั้น การอนุมัติว่าจะให้ค่าโอทีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้บริหารว่าอยากจะให้หรือไม่ให้ หลายครั้งที่ลูกน้องทำ “โอฟรี” แต่ไม่ได้ค่า “โอที” โดยหัวหน้าอ้างว่าเป็นงานที่ต้องรับผิดชอบต่อเนื่อง

2.หัวหน้ามาบอกให้ทำโอทีกะทันหันเกินไป ลูกน้องมีธุระสำคัญก็เลยทำไม่ได้

3.ลูกน้องไม่ได้อยากได้เงินเพิ่ม แต่อยากเอาเวลาไปสังสรรค์กับเพื่อน ออกกำลังกาย หรือให้เวลากับครอบครัวมากกว่า

4.ลูกน้องเรียนต่อภาคค่ำ หรือมีงานหารายได้พิเศษตอนค่ำ เช่น ไปร้องเพลงในห้องอาหาร, เป็นตัวแทนขายตรง, ขายประกันชีวิต, ขายของตลาดนัด ฯลฯ ก็เลยทำโอไม่ได้

5.ไม่มี “ใจ” ให้กับหัวหน้า คือหัวหน้าปกครองดูแลลูกน้องโดยใช้พระเดชใช้อำนาจเป็นประจำ แต่ไม่เคยมีพระคุณกับลูกน้อง หรือหัวหน้าไม่เป็นตัวอย่างที่ดีที่ทำให้ลูกน้องเลื่อมใสศรัทธา อารมณ์ร้าย โวยวายเป็นประจำ ทำผิดพลาดก็ด่าอย่างเดียว ฯลฯ

6.ไม่พูดจากับลูกน้องกันดี ๆ บอกให้เขาเข้าใจว่างานที่ต้องให้ทำโอทีน่ะมันเร่งด่วนหรือสำคัญแค่ไหนยังไง แต่ชอบใช้วิธีสั่งแบบบังคับว่าให้ทำก็ต้องทำ ถ้าลูกน้องไม่ทำก็จะมีการลงโทษประเภทเชือดไก่ให้ลิง (ลูกน้องคนอื่น) ดู ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง

7.ให้โอทีไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ตามมาตรา 61-63 บางแห่งให้โอทีแบบเหมาจ่ายและอัตราก็ต่ำกว่าที่กฎหมายแรงงานกำหนด เช่น ใครจะเงินเดือนเท่าไหร่ก็ให้ค่าโอทีชั่วโมงละ 120 บาทเท่ากันทั้งหมด ทำให้ลูกน้องบางคนได้รับค่าโอทีต่ำกว่าที่คำนวณตามกฎหมายแรงงานก็เลยไม่อยากทำ เพราะรู้สึกว่าบริษัทเอาเปรียบ

8.ทำโอทีกว่าจะเสร็จก็เลยเที่ยงคืน ลูกน้องต้องเรียกแท็กซี่กลับบ้านก็ไม่มีค่าแท็กซี่ให้ ทำให้ลูกน้องต้องควักกระเป๋าตัวเองเอามาจ่ายค่าแท็กซี่ เข้าเนื้อตัวเองซะอีก เรียกว่าถ้าใครบ้านอยู่ไกลก็ทำโอทีมาจ่ายเป็นค่าแท็กซี่กลับบ้านแหละครับ

9.ฯลฯ

สาเหตุที่ลูกน้องไม่อยากทำโอทียังมีมากกว่านี้อีกนะครับ ดังนั้น หัวหน้าคงต้องย้อนกลับมาทบทวนใหม่ให้ดีว่า งานที่สั่งให้ลูกน้องทำโอทีน่ะ จำเป็น เร่งด่วน และสำคัญจริงหรือไม่ มีการจ่ายโอทีให้เขาหรือเปล่า และการจ่ายโอทีของบริษัทเป็นไปตามที่กฎหมายแรงงานกำหนดหรือไม่ เพื่อที่จะได้แก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องต่อไปครับ