โต้ง สิริพงศ์ เบื้องหลังความสำเร็จ “ไทบ้าน เดอะซีรีส์” กับกลยุทธ์ป่าล้อมเมือง

โต้ง สิริพงศ์

“โต้ง-สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ” ผู้สนับสนุนและเบื้องหลังความสำเร็จ “ไทบ้าน เดอะซีรีส์” กับกลยุทธ์ป่าล้อมเมือง จากทุนสร้างหนังภาคแรกเพียง 2 ล้านบาท

วันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 “โต้ง-สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ” ผู้สนับสนุนและเบื้องหลังความสำเร็จ “ไทบ้านเดอะซีรีส์” ได้ร่วมเสวนากับ “คุณสรกล อดุลยานนท์” (หนุ่มเมืองจันท์) ในหัวข้อ “กรณีศึกษา ISAN Soft Power ไทบ้านเดอะซีรีส์” ในงานสัมมนา “Thailand 2024 Beyond Red Ocean” จัดโดยหนังสือพิมพ์ “ประชาชาติธุรกิจ”

โต้ง สิริพงศ์ กล่าวว่า วันนี้หนังเรื่อง “สัปเหร่อ” กวาดรายได้ 720 ล้านบาททั่วประเทศแล้ว เดิมทีน้อง ๆ กลุ่มไทบ้านเข้ามาขอทุนทำหนังตั้งแต่ “ไทบ้าน เดอะซีรีส์” ภาคเเรก และเราให้ทุนไป 2 ล้านบาท

โดยเรามีโจทย์ว่าต้องถ่ายทำในจังหวัดศรีสะเกษเพื่อโปรโมตเรื่องการท่องเที่ยว ตอนแรกคิดว่าขาดทุนแน่ เพราะไม่มีความชำนาญในธุรกิจประเภทนี้ แต่ถ้าหนังออกจากโรงแล้ว ก็ให้อยู่บนเพจเฟซบุ๊ก อย่างน้อยก็ได้โฆษณาจังหวัดเรา

กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง

โต้ง สิริพงศ์ กล่าวว่า ตอนแรกไม่ได้คิดเรื่องป่าล้อมเมือง แต่สถานการณ์บีบบังคับ ตอนแรกจะฉายแค่ในโรงภาพยนตร์ภาคอีสาน แต่กลับเกิดปรากฏการณ์โรงแตก ตั้งแต่ไทบ้าน เดอะซีรีส์ ภาคแรก

หนังดูท่าไปต่อได้ เราจึงใช้กลยุทธใหม่ จากตอนแรกที่ลงทุนไป 2 ล้านบาท เราไม่มีงบฯโฆษณาเหลือแล้ว จึงใช้วิธีโฆษณาที่คุ้นเคยและพลังจากเพจ นั่นคือการยิงแอดบนเฟซบุ๊ก ต่อยอดกระแสจากภาคอีสานช่วง 2-3 วันแรก

วิธีการคือเลือกยิงแอดแถบภาคตะวันออกและชานเมืองของกรุงเทพมหานคร เพราะมีชาวอีสานอาศัยอยู่ค่อนข้างมาก

เราก็ยิงแอดไปเรื่อย ๆ ให้พวกเขาเห็น ให้เป็นกระแสกดดัน และเรียกร้องให้โรงภาพยนตร์ในกรุงเทพฯ รับไทบ้านมาฉาย

ปรากฏว่าสำเร็จ โรงภาพยนตร์ในกรุงเทพฯ ก็รับมาฉาย แต่กลางเมืองจริง ๆ ยังไม่มี จะฉายบริเวณบางพลี บางเเค บางกะปิ หรือย่านรังสิต เป็นต้น จนเกิดเป็นปรากฏการณ์โรงแตกรอบ ๆ กรุงเทพฯ สำหรับภาคแรก และเกิดเป็นป่าล้อมเมือง

หลังจากนั้น ภาค 2 ก็เริ่มมีคนรู้ว่ามีหนังแบบนี้ เราเริ่มมีที่ฉายมากขึ้น จนกระทั่งโดนกระแสดราม่าจากคณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ (กบว.) ในภาค 2.2

เนื่องจากมีฉากที่พระร้องไห้ฟูมฟายเพราะแฟนตาย กบว.จึงเซ็นเซอร์ด้วยเหตุผลว่าพระร้องไห้หนักเกินไปไม่สำรวม ทั้ง ๆ ที่หนังกำลังจะฉายแล้ว

กำลังจะฉายถึงขนาดว่า มีแฟนคลับมารอดูอยู่หน้าโรงแล้ว แต่ถูกสั่งให้ตัดฉากนี้ออก สุดท้ายภาค 2.2 ก็กลายเป็นกระแสและทำกวาดรายได้ 100 ล้านบาท

หนังของไทบ้านไม่เคยทะเยอทะยาน แต่เรามีจักรวาลของเรา มีเพลง 400 ล้านวิว ไม่ว่าจะเป็นเพลงทดเวลาบาดเจ็บ, สเตตัสถืกถิ่ม หรือกอดเสาเถียง

ณ วันที่ไทบ้าน เดอะซีรีส์ ภาคแรกประสบความสำเร็จ ยอดวิวเพลงขึ้นไป 200-300 ล้าน น้อง ๆ ก็เริ่มมีเงิน

การทำหนังเสี่ยงกว่าการทำเพลง ทำหนังลงทุนไปแล้ววัดดวงในโรง แต่ทำเพลงลงทุนไม่เยอะ ถ้าเพลงดีเพลงดังก็มีรายได้เพิ่มขึ้นทุกวัน อย่าง 400 ล้านวิวก็ได้เงินประมาณ 4 ล้านบาท มากกว่าทุนไทบ้านเดอะ ซีรีส์ภาคแรกถึงเท่าตัว

ผนึก BNK48 ขยายฐานแฟนคลับ

จนกระทั่งได้เจอพี่ “ต้อม-จิรัฐ บวรวัฒนะ” แห่ง “BNK 48” จึงได้เกิดการทำหนังร่วมกัน แม้จะคนละจักรวาลกัน แม้ไม่ได้ทำเงินมหาศาล แต่ก็ไม่ขาดทุน และก็มีสปอนเซอร์เข้ามาพร้อมกับ BNK48

แม้หนังไม่ได้ทำเงินขนาดน้้น ประสบความสำเร็จในเเง่ของเพลง คนเริ่มรู้จักคำว่า “โด่ดิดง” ไทบ้านxBNK48 เป็นคนแรกที่เอามาใช้

นอกจากนี้ BNK48 ยังออกแบบชุดเป็นกระติ๊บข้าวเหนียว และนำไปเผยแพร่ในแฟรนไชส์ของเขา เอาเพลงไปโปรโมตที่ญี่ปุ่นและะอินโดนิเซีย จนกระทั่งเพลงก็ร้อยล้านวิว และเป็นการขยายฐานเเฟนคลับที่สำคัญ

ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำคือซอฟต์พาวเวอร์

โต้ง สิริพงศ์ กล่าวอีกว่า ตอนแรกไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทำคือซอฟต์พาวเวอร์ แค่ต้องการนำที่เที่ยวศรีสะเกษเข้าไปในหนัง ตอนแรกดูเรื่อง “กวน มึน โฮ” และอยากไปเที่ยวเกาหลี เลยมีความรู้สึกว่าถ้าทำหนังแบบนี้แล้วมีคนอยากมาเที่ยวศรีสะเกษจะเป็นอย่างไร

สรุปไทบ้าน เดอะซีรีส์ ภาคเเรกที่ลงทุนไป 2 ล้านบาท มีรายได้ 40 ล้านบาท และคนก็เริ่มอยากรู้จัก อยากไปเที่ยว เราก็ทำเหมือนเกาหลีเลย เอาสแตนดี้นักแสดงไปตั้งตามสถานที่ต่าง ๆ ได้โฆษณาจังหวัดของเรา

ส่วนหนังเรื่องสัปเหร่อเป็นซอฟต์พาวเวอร์หรือไม่ ผมไม่มั่นใจว่ามองในมุมไหน ถ้าเรามองว่าทำให้คนอยากมาเที่ยวศรีสะเกษ ผมไม่มั่นใจ

ภาคอื่น ๆ ก่อนหน้า ผมมั่นใจว่าคือซอฟต์พาวเวอร์ของท่องเที่ยวศรีสะเกษ แต่สัปเหร่อไปถ่ายที่ทุ่งนา เมรุวัด จึงไม่มั่นใจว่ามันคือซอฟต์พาวเวอร์หรือไม่

แต่มีแฟนคลับมาคอมเมนต์ว่าผมเข้าใจผิด เขาดูหนังเรื่องนี้เเล้วอยากไปเที่ยวศรีสะเกษ แสดงว่ามันเป็นซอฟต์พาวเวอร์ ถึงแม้เราไม่ได้ตั้งใจ

ฉากข้าวจี่ที่ยายเอาให้หลานกิน เป็นข้าวจี่ไหม้ ๆ ใครจะอยากกิน แต่ก็มีคนคอมเมนต์ว่าดูแล้วอยากกินข้าวจี่

แต่สิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นซอฟต์พาวเวอร์แน่นอน คือมันทำให้คนที่ดูหนังเรื่องนี้เขากลับมาคิดถึง “สถาบันครอบครัว”

“เวลาเขาดูอะไรแบบนี้แล้วเขามีความภาคภูมิใจในบ้านเกิด มันจะมีเเรงที่บอกเขาว่า วันที่เขาประสบความสำเร็จ เขาต้องกลับไปพัฒนาบ้านเขา เรื่องนี้เป็นความสำเร็จสูงสุดของหนังเรื่องสัปเหร่อ”