อัพเดตล่าสุด 11 สิงหาคม 2565 เวลา 07.59 น.
ความตึงเครียดกรณีไต้หวันได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ “นางแนนซี เพโลซี” เยือนไทเป เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2565 นับเป็นการเยือนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐครั้งแรกในรอบ 25 ปี โดยนางแนนซีได้เข้าพบ “นางไช่ อิงเหวิน” ประธานาธิบดีไต้หวัน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายจีนมาก จนหลายฝ่ายต่างกังวลกันว่า การเยือนไทเปของนางแนนซีอาจจะกลายเป็นการจุดชนวนปัญหาระหว่างสหรัฐกับจีนต่อไป
ประกอบกับวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ตรงกับวันครบรอบ 95 ปีของการก่อตั้งกองทัพจีน หรือที่รู้จักกันในนาม “กองทัพปลดปล่อยประชาชน” (People’s Liberation Army : PLA) ยิ่งจีนประกาศขยายระยะเวลาการซ้อมรบครั้งใหญ่บริเวณรอบเกาะไต้หวัน ออกจนไปถึงวันที่ 8 ก.ย. 2565 ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
จีนแบนสินค้าไต้หวัน
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ให้ความเห็นว่า จีนใช้มาตรการทางเศรษฐกิจสั่ง “แบน” ห้ามนำเข้าสินค้าจากไต้หวัน จำนวนมากกว่า 2,000 รายการ จากทั้งหมด 3,200 รายการ ในสินค้า 35 ประเภท เช่น ปลาและอาหารทะเล, น้ำมันปรุงอาหาร, บิสกิตและเค้ก ภายใต้แบรนด์สินค้ากว่า 100 แบรนด์ เพื่อตอบโต้การเดินทางเยือนไต้หวัน ของแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ
โดยเว็บไซต์กรมศุลกากรของจีนได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการห้ามนำเข้าสินค้าจากไต้หวัน ภายหลังจากนางแนนซี เพโลซี เข้าพบกับไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีของไต้หวัน โดยระบุเหตุผลว่า สินค้าเหล่านี้ไม่ได้รับการลงทะเบียนอย่างถูกต้องตามเกณฑ์ใหม่ของจีน
ทั้งนี้ จีนพยายามลงโทษไต้หวันด้วยบทลงโทษทางเศรษฐกิจ ก่อนหน้านี้ จีนก็เคยใช้ “มาตรการห้ามนำเข้า” ลงโทษไต้หวันมาแล้ว เช่น การสั่งห้ามนำเข้าสับปะรด, แอปเปิล และน้อยหน่า แต่ที่ผ่านมาการแบนของจีน “จำกัด” อยู่ในกลุ่มสินค้าไม่กี่ชนิด และจีนไม่เคยมีการแบนสินค้าจำนวนมากเช่นนี้มาก่อน
การแบนสินค้าครั้งนี้เป็นหนึ่งในมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจที่ปักกิ่งพุ่งเป้าโจมตีไปยัง “อุตสาหกรรมเกษตร” ของไต้หวัน เนื่องจากภูมิภาคตอนใต้ของไต้หวันเป็นแหล่งปลูกผลไม้ ซึ่งถือเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) และประธานาธิบดี ไช่ อิงเหวิน ที่มีจุดยืนสนับสนุนให้ไต้หวันประกาศเอกราชจากจีนอย่างเป็นทางการ
สำหรับมูลค่าการค้าระหว่างจีนและไต้หวัน ปี 2564 อยู่ที่ 208,917 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบสัดส่วนที่จีนนำเข้าสินค้าจากไต้หวัน คิดเป็น 20% เทียบกับตลาดโลก ในปี 2564 มีมูลค่า 82,690 ล้านเหรียญ และการส่งออกไปยังไต้หวัน คิดเป็นสัดส่วน 27% โดยมูลค่าการค้า 126,277 ล้านเหรียญ สินค้าส่งออกสำคัญและสินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ เครื่องจักรอุปกรณ์ไฟฟ้า, เครื่องจักรบอยเลอร์, อุปกรณ์ทัศนศาสตร์, พลาสติก และอาหาร
ขณะที่มูลค่าการค้าระหว่างประเทศไทยกับไต้หวัน ปี 2564 เท่ากับ 13,021 ล้านเหรียญ หรือส่งออก 7,043 ล้านเหรียญ คิดเป็นสัดส่วน 2% จากการส่งออกไปทั่วโลก และนำเข้า 5,977 ล้านเหรียญ คิดเป็นสัดส่วน 2% ของตลาดโลก สินค้าส่งออกและนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรอุปกรณ์ไฟฟ้า, เครื่องจักรบอยเลอร์, ยานพาหนะและส่วนประกอบ, พลาสติก, เคมีภัณฑ์อินทรีย์, ยางและผลิตภัณฑ์ยาง
จับตาห่วงโซ่เซมิคอนดักเตอร์
แน่นอนว่าปัญหาและความตึงเครียดที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 มหาอำนาจโลกนั้นไม่ใช่เรื่องดีของคนทั่วโลก ก่อนหน้านี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพิ่งปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (World GDP) ปี 2565 จาก 3.6% เหลือ 3.2% ซึ่งถือว่าอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับธนาคารโลก (World Bank) และ OECD ที่ปรับลดมาก่อนหน้านี้
ดังนั้นเมื่อเกิดความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการที่จะเกิดการใช้กำลังระหว่างกัน การเกิดความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยต้องติดตามว่า การผ่อนคลายกำแพงภาษีระหว่างสหรัฐ-จีน (Trade War) ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตการณ์ไต้หวันครั้งนี้ “อาจได้รับผลกระทบ” กลับมาหรือไม่
“ไต้หวัน” ถือเป็นประเทศที่มีความสำคัญต่อโลกมากประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะ “อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์” ที่ใช้กันในโลกทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ไปจนถึงแล็ปทอป, นาฬิกา, เกม ส่วนใหญ่ใช้ “ชิปคอมพิวเตอร์” ที่ผลิตในไต้หวัน จากการประเมินพบว่า บริษัทผลิตสารกึ่งตัวนำไต้หวัน (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company-TSMC) เพียงบริษัทเดียวครองส่วนแบ่งเกินกว่าครึ่งหนึ่งของตลาดโลก มีมูลค่าเกือบ 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3.3 ล้านล้านบาท)
ดังนั้นหากไต้หวันถูกครอบครองโดยจีน อาจจะทำให้จีนกลายเป็นผู้ควบคุมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่สำคัญที่สุดในโลกไว้ได้ส่วนหนึ่ง จากที่ผ่านมาไต้หวันเป็นผู้นำเข้าแร่และวัตถุดิบจากจีนอยู่
โดยล่าสุด กระทรวงพาณิชย์จีน ได้สั่งงดส่งออกทรายธรรมชาติไปยังไต้หวัน เพื่อตัดต้นธารวัตถุดิบทำ “แผ่นซิลิคอน” ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ หมายถึงต่อไปนี้ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันจะ “ขาดแคลนวัตถุดิบ” รายได้ส่งออกราว 40% ของไต้หวันจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและส่งผลต่อธุรกิจเกี่ยวเนื่องทั่วโลก
โอกาสในวิกฤต
นายวิศิษฐ์มองว่า เป็นโอกาสดีของสินค้าไทยในการส่งออกไปยังจีน เนื่องจากจีนมีมาตรการทางเศรษฐกิจสั่งแบนห้ามนำเข้าสินค้าจากไต้หวัน จำนวนมากกว่า 2,000 ชนิด โดยสินค้าที่ไต้หวันส่งออกไปจีนมาก ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้า, เซมิคอนดักเตอร์, เครื่องจักรบอยเลอร์, สินค้าพลาสติก, ทองแดง, อาหารบางชนิด
เช่น เครื่องดื่ม-อาหารสำเร็จรูป-แป้งพาสทรี-ขนมปัง-ชากาแฟ-เครื่องเทศ-ผลไม้-อาหารทะเล ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกไปประเทศจีนอยู่แล้ว “ดังนั้นไทยอาจจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสในการสร้างแต้มต่อทางการค้า และแย่งชิงส่วนแบ่งทางตลาดสินค้ารายการเหล่านี้ได้เพิ่มขึ้น
เช่นเดียวกับแนวโน้มการส่งออกสินค้าอาหารไทยในช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือของปี 2565 คาดว่าจะมีมูลค่า 913,978 ล้านบาท หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 และยังคงคาดการณ์การส่งออกทั้งปีไว้ที่ 1,200,000 ล้านบาท หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3
โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากความต้องการที่สูงขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจภาคท่องเที่ยว ราคาอาหารโลกยังคงปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลดีต่อสินค้าเกษตรและอาหารของไทยโดยรวม ประกอบกับเงินบาทอ่อนค่าที่สุดในรอบ 5 ปี
แต่อีกด้านหนึ่งก็จะมีอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ จะเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่มีการใช้ชิปเซมิคอนดักเตอร์และแบตเตอรี่ไฟฟ้ารถยนต์ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์, รถไฟฟ้า, เรือ, เครื่องบิน, คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไทยด้วย
เพราะไทยมีการส่งออกสินค้าในกลุ่มที่ใช้เซมิคอนดักเตอร์ค่อนข้างมาก หากขาดแคลน supply อาจจะเกิดการชะงัก ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยและเศรษฐกิจไทย
“ประเทศไทยควรแสดงท่าทีรักษาจุดยืนไม่เลือกข้าง เพราะไทยจะต้องเลือกได้ข้างเดียวคือ ข้างรักษา ‘ผลประโยชน์’ ของไทย ดังนั้นการบาลานซ์ความสัมพันธ์จึงไม่ใช่การเชียร์มวย” นายวิศิษฐ์กล่าว