กระทรวงพาณิชย์เปิด Organic Symposium 2017 ในงาน Organic & Natural Expo 2017

กระทรวงพาณิชย์เปิด Organic Symposium 2017 ในงาน Organic & Natural Expo 2017 ชูยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนไทยสู่ผู้นำตลาดออร์แกนิคในอาเซียน ด้าน GIT ดัน organic jewelry

นางพิมพาพรรณ ชาญศิลป์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานเปิดงานสัมมนาวิชาการ Organic Symposium 2017 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน Organic & Natural Expo 2017 งานแสดงสินค้าและ จำหน่ายสินค้าออร์แกนิคและธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรอินทรีย์ ของไทยและแนวทางการขับเคลื่อน” ว่า กระทรวงพาณิชย์มียุทธศาสตร์ การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560-2564 ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ฉบับที่ 2 โดยมีวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคด้านการผลิต การบริโภค การค้าสินค้า และการบริการเกษตรอินทรีย์ที่มี ความยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ให้เป็น 600,000 ไร่ ในปีพ.ศ. 2564 และมีเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 30,000 ราย รวมทั้งเพิ่มสัดส่วนตลาดในประเทศ ต่อตลาดส่งออกเป็น 40:60 และที่สำคัญคือ การมุ่งที่จะ ยกระดับกลุ่มเกษตรอินทรีย์วิถีพื้นบ้านเพิ่มขึ้น ซึ่งนับเป็น แผนยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายให้เกิดการขยายเกษตร อินทรีย์กว่าเท่าตัวในอีก 5 ปีข้างหน้า

“รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญของเกษตรอินทรีย์ เนื่องจากเป็นกระบวนการผลิตที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและ ระบบนิเวศโดยรวม และมีความปลอดภัยต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยคำนึงถึงหลักการสำคัญของการผลิตเกษตร อินทรีย์ 4 ด้านที่ทางสหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ หรือ International Federation of Organic Agriculture Movement (IFOAM) ได้กำหนดไว้ ได้แก่ ด้านสุขภาพ ด้านนิเวศวิทยา ด้านความเป็นธรรมระหว่างผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้บริโภค และด้านการดูแลเอาใจในเรื่องการบริหารจัดการ นอกจากนี้ยังยึดหลักหลักการพัฒนาที่ยั่งยืนและ หลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9”

ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติฉบับปัจจุบันจึงได้วางยุทธศาสตร์หลัก 4 ด้าน ประกอบด้วย(1) ส่งเสริมการวิจัย การสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้และนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ (2) พัฒนาการผลิตสินค้าและ บริการเกษตรอินทรีย์ (3) พัฒนาการตลาดสินค้าและบริการ และการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และ (4) การขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์

“ยุทธศาสตร์ทั้ง 4 ข้อนี้ยังสอดรับกับนโยบายการพัฒนาประเทศไทยไปสู่ “ประเทศไทย 4.0” หรือ “Thailand 4.0” ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยมีองค์ประกอบสำคัญ คือ การเปลี่ยนจากการผลิตสินค้า “โภคภัณฑ์” ไปสู่สินค้าเชิง “นวัตกรรม” เปลี่ยนจากการขับเคลื่อนประเทศด้วยภาค อุตสาหกรรมไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม และเปลี่ยนจากการเน้นภาค การผลิตสินค้าไปสู่การเน้นภาคบริการมากขึ้น รัฐบาลได้ระบุ 5 กลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่ไทย สามารถต่อยอดได้ด้วยวิทยาการ ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม และการวิจัยและพัฒนา โดย 2 ใน 5 กลุ่มนั้น ได้แก่ กลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ และกลุ่มสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ เป็น สองกลุ่มที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับศักยภาพและขีดความสามารถของเกษตรอินทรีย์ไทยที่จะได้ต่อยอดและ พัฒนาต่อไปให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกตามนโยบาย “Thailand 4.0”

กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายใน มุ่งให้เกิดการบูรณาการและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์แห่งชาติ เพื่อให้สินค้าอินทรีย์ของไทยได้พัฒนารูปแบบและเชื่อมโยงสู่ตลาด สินค้าเกษตรอินทรีย์ในสากลมากขึ้น โดยมีเป้าหมายสำคัญให้ “ไทยเป็นผู้นำด้านการผลิต การค้า และการบริโภค สินค้าอินทรีย์ในภูมิภาคอาเซียน” และมีวัตถุประสงค์สำคัญ คือเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความตระหนักรู้และหันมาบริโภคสินค้าอินทรีย์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรหันมาให้ความสนใจทำเกษตรอินทรีย์มากขึ้น มูลค่าตลาดสินค้าอินทรีย์เพิ่มสูงขึ้น เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และในที่สุดชุมชนก็จะมีความยั่งยืน และเศรษฐกิจของประเทศขยายตัวในภาพรวมสามารถขยายตัวได้ อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในจึงกำหนดยุทธศาตร์ด้านการตลาดสินค้า เกษตรอินทรีย์ พ.ศ. 2560-2564 โดยมี 4 ยุทธศาสตร์สำคัญ ประกอบด้วย (1) สร้างการรับรู้ของผู้เกี่ยวข้องตลอด ห่วงโซ่อุปทาน (2) ผลักดันมาตรฐานและระบบการรับรองเกษตรอินทรีย์ (3) พัฒนาและขยายตลาดสินค้าและ บริการอินทรีย์ และ (4) พัฒนาสร้างมูลค่าสินค้าและบริการอินทรีย์

นางพิมพาพรรณกล่าวว่า ยุทธศาสตร์ทั้ง 4 ข้อนี้ ล้วนแต่ตอบสนองแนวโน้มการบริโภคสินค้าอินทรีย์ที่เพิ่มขึ้น ในตลาดโลก ศักยภาพการขยายตลาดสินค้าอินทรีย์ของไทยในตลาดโลก สอดรับกับหลักการสำคัญและแนวคิด ของ “Thailand 4.0” และแสดงถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมของกระทรวงพาณิชย์ในการผลักดันและส่งเสริม การค้าและการตลาดสินค้าอินทรีย์ของไทย ทั้งในการเชื่อมโยงสินค้าจากแหล่งผลิตสู่ผู้บริโภคในตลาดภายใน ประเทศ ตลาดภูมิภาค และตลาดโลก ทั้งยังเล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทย ตระหนักถึงความต้องการหรืออุปสงค์ของตลาดโลก เพื่อจะได้ผลิตสินค้าอินทรีย์ให้ตรงกับ ความต้องการของตลาด รวมทั้งเปิดรับการประยุกต์ใช้วิทยาการ เทคโนโลยี นวัตกรรมต่างๆ กับสินค้าและบริการ อินทรีย์ของไทยต่อไป

สำหรับแผนดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ในปีพ.ศ. 2560 นี้ ทางกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในได้ ริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อส่งเสริมตลาดสินค้าอินทรีย์ โดยมุ่งเน้นการทำงานเพื่อให้เกิดผลงานที่เป็นรูปธรรมตาม ยุทธศาสตร์ที่วางไว้ เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์ได้อย่างแท้จริง ซึ่งประกอบด้วย
1) แผนงานในประเทศ อาทิ โครงการส่งเสริมการสร้างมูลค่าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โครงการเชื่อมโยงตลาดและ ส่งเสริมพัฒนาต่อยอดสินค้าที่ได้รับการคัดเลือก โครงการ Organic Thailand Innovation Award งาน Organic & Natural Expo 2017 และงานแสดงและจำหน่ายสินค้าอินทรีย์ในภูมิภาค โครงการส่งเสริม ภาพลักษณ์ของสินค้าอินทรีย์ โครงการ Opportunities on Organic farms for CLMVT โครงการพัฒนา ฐานข้อมูลเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมและพัฒนา Organic Village และ Organic Farm Outlet
2) แผนงานต่างประเทศ อาทิ โครงการจัดคณะผู้ประกอบการอินทรีย์ของไทยไปเข้าร่วมงาน BIOFACH งานจัดแสดงสินค้าอินทรีย์นานาชาติที่ใหญ่และมีเครือข่ายกว้างขวางที่สุดในโลก

นางพิมพาพรรณยังกล่าวถึงกรณีศึกษาที่จังหวัดชัยภูมิว่า จากการลงพื้นที่หารือร่วมกับภาคเอกชนและกลุ่ม เกษตรกรผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอินทรีย์ อ.หนองบัวแดง และ อ.เกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ พบว่าชุมชนดังกล่าว มีความเข้มแข็งและมีศักยภาพสูง มีการผสมผสานวิถีของเกษตรอินทรีย์เข้ากับวิถีชีวิตของชาวบ้านตั้งแต่กระบวน การเพาะปลูกไปจนถึงการจำหน่ายให้กับผู้บริโภคในตลาด โดยผ่านระบบการบริหารจัดการในชุมชน ตั้งแต่การใช้ พลังงานแสงอาทิตย์ รวมทั้งสร้างเครือข่ายเชื่อมโยง เพื่อซื้อขายสินค้าระหว่างกลุ่มเกษตรอินทรีย์ต่างๆ ในชุมชน เช่น กลุ่มนาแปลงใหญ่ กลุ่มทอผ้าย้อมสีธรรมชาติ กลุ่มปลูกหม่อนเลี้ยงไหม กลุ่มชุมชนคนเลี้ยงโคเนื้อ กลุ่มปลูกกล้วยหอมทอง และกลุ่มปลูกแตงโมออร์แกนิค เป็นต้น นับเป็นหนึ่งในกลุ่มเกษตรกรอินทรีย์ต้นแบบ โดยกระทรวงพาณิชย์พร้อมที่จะสนับสนุนให้ชุมชนเป็นต้นแบบของหมู่บ้านเกษตรอินทรีย์ (Organic Valley) แห่งแรกของไทย ช่วยผลักดันและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเกษตรกรในภูมิภาคอื่นต่อไปด้วย

ปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์ได้จัดตั้งหมู่บ้านเกษตรอินทรีย์แล้วทั้งสิ้น 4 หมู่บ้าน ได้แก่ (1) หมู่บ้าน ริมสีม่วง จ.เพชรบูรณ์ (2) หมู่บ้านทัพไทย จ.สุรินทร์ (3) หมู่บ้านโสกขุมปูน จ.ยโสธร และ (4) หมู่บ้านห้วยพูล จ.นครปฐม โดยในปี 2560 มีแผนที่จะจัดตั้งหมู่บ้านเกษตรอินทรีย์เพิ่มอีก 4 แห่ง ในจ.นครพนม ชัยภูมิ ลพบุรี และเชียงใหม่

“เกษตรอินทรีย์ของไทยมีศักยภาพสูง เพราะมีความหลากหลาย มีจำนวนเกษตรกรที่หันมาทำเกษตรอินทรีย์และ ผู้ประกอบการหันมาทำสินค้าอินทรีย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงพาณิชย์จึงได้มีแผนที่จะผลักดันการค้าสินค้า อินทรีย์ให้ขยายตัวออกไป โดยหวังให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางเกษตรอินทรีย์ของอาเซียน มีการสร้างเครือข่าย เกษตรอินทรีย์จากประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม หรือกลุ่ม CLMV โดยจะมีการเชิญเกษตรกรจาก ประเทศเพื่อนบ้านมาร่วมเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำเกษตรอินทรีย์ระหว่างกัน และมีการลงมือ ปฏิบัติในแปลงสาธิต การอบรมด้านการตลาด และระบบโลจิสติกส์ นอกจากนี้การประชุมหารือระหว่างเอกชนไทย และเอกชนอาเซียนจากสมาคมเกษตรอินทรีย์ของประเทศต่างๆ ที่มุ่งหวังให้เกิดการจัดตั้งสหพันธ์เกษตรอินทรีย์ อาเซียน (ASEAN Organic Federation) ในงาน Organic & Natural Expo ครั้งนี้ จะก่อให้เกิดความร่วมมือใน ภูมิภาคที่เป็นรูปธรรม เกิดการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอินทรีย์ ในกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อให้ภาคส่วนอินทรีย์ของอาเซียนเติบโตอย่างเข้มแข็งต่อไป” นางพิมพาพรรณกล่าวสรุป

ด้านนางดวงกมล เจียมบุตร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับ (Gems& Jewelry Institute of Thailand : GIT) เปิดเผยว่า ในโอากาสที่เข้าร่วมงาน Organic and Natural Expo หรืองาน ONE 2017 ทาง GIT ได้รับการสอบถามมากเรื่อง Organic jewelry ซึ่งเป็น อัญมณีมาจากสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่นไข่มุก ปะการัง อำพัน

การเกิดขึ้นของอัญมณีเหล่านี้จะต้องเกิดในภาวะแวดล้อมที่ไม่มีมลพิษ หรือสารพิษ การมีซึ่งอัญมณีเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์ ในต่างประเทศมีการทำ organic pearl farming คือ ดูแลตั้งแต่แหล่งน้ำบริสุทธิ์ ปราศจากมลพิษและสารเคมี กระบวนการเลี้ยงได้รับการควบคุมอย่างถูกต้องไม่สร้างผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า อัญมณีออแกนิคเหล่านี้มีส่วนทำให้เกิดระบบนิเวศน์ที่ยั่งยืน โดยการดูแลการผลิตเป็นอย่างดี และรักษาสิ่งแวดล้อม

“ในปัจจุบัน โลกได้ให้ความสำคัญในเรื่องของ การพัฒนาอย่างยั่งยืน (sustainability) ดังนั้นจึงเริ่มมีผผู้ประกอบการไข่มุกในต่างประเทศเรื่มตื่นตัวในเรื่องนี้แล้ว ประเทศไทยน่าจะหันมาจับจุดขายในเรื่องเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งมูลค่าในแง่รักษ์โลก และในแง่ตัวเงิน”