ลดค่าไฟ ให้ กฟผ. แบกรับภาระ สุดท้ายประชาชนต้องจ่าย

ค่าไฟ
รายงาน

หลังการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาในวันที่ 11-12 กันยายน 2566 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกวันที่ 13 กันยายน 2566 ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะ จะพิจารณาลดค่าพลังงาน ซึ่งรวมถึงค่าไฟฟ้าลงให้มากกว่าที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เคยมีมติให้ปรับลดไปแล้วก่อนหน้า 25 สตางค์ต่อหน่วย

หนึ่งในแนวทางพิจารณาที่ให้ปรับลดค่าไฟฟ้าลงให้มากกว่าเดิม คือให้นำเอาส่วนที่จะต้องทยอยคืนให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประมาณ 23,428 ล้านบาท มาใช้ในการคำนวณเป็นส่วนลด

ที่ผ่านมาในค่าพิจารณาค่าเอฟทีงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2566 กฟผ.มีหนังสือแจ้งถึง กกพ.ว่าจำเป็นจะต้องได้รับการทยอยคืนเงินที่ได้แบกรับภาระต้นทุนแทนประชาชน เพื่อไม่ให้ กฟผ.เกิดปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน จนกระทบต่อการชำระคืนดอกเบี้ย การชำระค่าเชื้อเพลิงให้ ปตท. และการนำส่งรายได้ให้กระทรวงการคลัง

โดยนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2564 ที่ผ่านมา จนถึง เม.ย. 2566 การปรับขึ้นค่าเอฟทีไม่ได้สะท้อนต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่เป็นจริง เพราะภาครัฐต้องการช่วยลดผลกระทบให้ประชาชน จึงมีนโยบายให้ กฟผ.เข้ามาช่วยแบกรับส่วนต่างของต้นทุนเชื้อเพลิงแทนประชาชนไปก่อน คิดเป็นภาระที่เกิดขึ้นจริงรวมประมาณ 138,485 ล้านบาท

การแบกรับภาระแทนประชาชนดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของ กฟผ. จนต้องมีการกู้เงินมาเสริมสภาพคล่อง การขอขยายระยะเวลานำเงินส่งรัฐ การขอขยายเวลาชำระค่าเชื้อเพลิงให้ ปตท.โดยไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย

Advertisment

ดังนั้น ในการคำนวณค่าเอฟทีงวดกันยายน-ธันวาคม 2566 กฟผ.มีหนังสือแจ้งถึง กกพ.ที่รับผิดชอบการคิดคำนวณค่าไฟ จึงปรับลดค่าไฟลงบางส่วน โดยไม่ได้สะท้อนต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่คาดว่าจะลดลงทั้งหมด เพื่อให้ กฟผ.ได้รับเงินคืน เพื่อให้มีสภาพคล่องไปจ่ายคืนดอกเบี้ยเงินกู้ที่เกิดจากการต้องรับภาระแทนประชาชนก่อนหน้านี้ รวมทั้งการจ่ายค่าเชื้อเพลิงให้ ปตท.

อธิบายทำความเข้าใจถึงการคำนวณค่าเอฟทีของ กกพ. ว่าเป็นการคาดการณ์ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงล่วงหน้า ซึ่งที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ราคาเชื้อเพลิงโดยเฉพาะ LNG นำเข้าผันผวนในระดับสูง โดยตัวเลขค่าเชื้อเพลิงที่ กฟผ.ต้องจ่ายจริงสูงกว่าตัวเลขที่ กกพ.คำนวณไว้ จึงต้องรับภาระแทนประชาชนไปก่อน เพื่อ กกพ.จะใช้คำนวณเป็นส่วนบวกเพิ่มในเอฟทีงวดถัดไปเพื่อคืนภาระให้ กฟผ.

อย่างไรก็ตาม ภาระที่ กกพ.ต้องเรียกเก็บเพื่อจ่ายคืนส่วนที่ กฟผ.จ่ายแทนประชาชนไปก่อนนั้น เป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นจริง ณ เมษายน 2566 มากถึง 226.44 สตางค์ต่อหน่วย หรือคิดเป็นเงินประมาณ 138,485 ล้านบาท

ดังนั้น กกพ.จึงต้องใช้วิธีการทยอยจ่ายคืน โดยบวกรวมต้นทุนส่วนนี้เข้าไปในค่าเอฟทีที่เรียกเก็บกับประชาชนในแต่ละงวดจนกว่า กฟผ.จะได้รับเงินส่วนนี้คืนทั้งหมด ทั้งนี้ การแบ่งงวดจ่ายคืนให้กับ กฟผ. สำหรับงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2566 คิดรวมอยู่ในค่าเอฟที 38.31 สตางค์ต่อหน่วย หรือคิดเป็นเงินประมาณ 23,428 ล้านบาท

Advertisment

ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ตัวเลขต้นทุนเชื้อเพลิงอาจจะสูงกว่าที่ กกพ.ใช้คำนวณ เพราะมีแนวโน้มที่จะต้องนำเข้า LNG ราคาแพงมาทดแทนก๊าซธรรมชาติจากแหล่งเอราวัณ (G1/61) ที่อาจจะมีปริมาณต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนด โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติแจ้งถึงการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง G1/61 ไม่สามารถที่จะเพิ่มปริมาณจาก 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในวันที่ 1 ก.ค. 66 เป็น 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในวันที่ 1 ธ.ค. 66 ได้ตามเป้าหมาย

เนื่องจากเครนของเรือ K1 ซึ่งเป็นเรือที่ใช้ติดตั้งแท่นหลุมผลิตได้รับความเสียหาย กระบวนการติดตั้งแท่นล่าช้าไปประมาณ 2 เดือน แต่ได้เรียกการผลิตเพิ่มจากแหล่งบงกชมาทดแทนได้ประมาณ 100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และจากแหล่งอาทิตย์ 60 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน รวมทั้งสองแหล่ง 160 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการผลิตไฟฟ้าที่มาจากเขื่อนของ สปป.ลาว ที่มีต้นทุนค่าไฟถูกกว่าก๊าซ จะมีสัดส่วนที่น้อยลง จากปรากฏการณ์เอลนีโญ

หากรัฐบาลเศรษฐายังยืนแนวทางที่จะให้ กฟผ.แบกรับภาระ โดยนำเงินส่วนที่ กฟผ.ควรจะต้องได้รับคืน ในงวดเอฟที ก.ย.-ธ.ค. 66 จำนวน 38.31 สตางค์ต่อหน่วย มาลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนตามนโยบาย จะทำให้ กฟผ.มีปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างหนัก กระทบต่อการชำระหนี้เงินกู้/ชำระค่าเชื้อเพลิง/การนำเงินกำไรส่งรัฐ/ยกเว้นว่ากระทรวงการคลังจะมีมาตรการอื่นใดเข้ามาช่วยเติมสภาพคล่องให้ กฟผ.

การก่อหนี้เพิ่มของ กฟผ.จะกระทบต่อเพดานหนี้สาธารณะ และเครดิตเรตติ้งของ กฟผ.ที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น สุดท้ายภาระทั้งหมดจะถูกส่งผ่านไปยังประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้า

ฐานะการเงินที่อ่อนแอของ กฟผ. จากผลพวงที่ต้องสนองนโยบายประชานิยมของรัฐบาล จะส่งผลต่อการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงไฟฟ้าของประเทศ โดยหากรัฐไม่มี กฟผ.มาเป็นกลไกที่แข็งแรงให้รัฐ ประชาชนก็จะต้องแบกรับต้นทุนค่าไฟที่จะต้องปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว