ในวันนี้ 5 ก.ค. กระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า ประเทศไทยร่วมกับองค์กร SeaWeb จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม “SeaWeb Seafood Summit” ประจำปี 2562 ระหว่างวันที่ 11-13 มิถุนายน 2562 ที่กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การทำงานด้านธุรกิจอาหารทะเลที่ยั่งยืนระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชนจากทั่วโลก เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติที่มุ่งไปสู่การทำประมงที่ยั่งยืน
ไทยได้ปฏิรูปภาคประมงอย่างจริงจังและต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 โดยเฉพาะการขจัดปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) อย่างเป็นระบบ จนมีความก้าวหน้าที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีของการทำประมงอย่างยั่งยืนในภูมิภาค และพร้อมที่จะร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การแก้ไขปัญหาของไทยให้กับประเทศและองค์กรต่าง ๆ ที่สนใจ
- กรมอุตุฯเตือน 6-12 พ.ค.นี้ ลมเปลี่ยนทิศ-แปรปรวน ฝนตกหนัก ท่วมฉับพลัน
- ทุเรียนทะลักวันละพันตู้ ล้งเบรกซื้อ ฉุดราคาดิ่งเหลือโลละ 135-140 บาท
- เปิดราคา Trade In “iPad” ก่อนเปิดตัวรุ่นใหม่ ลดสูงสุด 23,200 บาท
ไทยได้ส่งคณะผู้แทน นำโดยนายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง เข้าร่วมการประชุม SeaWeb Seafood Summit ประจำปี 2561 ระหว่างวันที่ 18-21 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่นครบาร์เซโลนา สเปน
และเข้าร่วมเวทีเสวนาในหัวข้อ “Environmental and Ethical Sustainability through Transparency, Traceability and Accountability” ซึ่งจัดโดยมูลนิธิ Environmental Justice Foundation (EJF) เมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยไทยได้นำเสนอความก้าวหน้าการปฏิรูปภาคประมงของไทย โดยเฉพาะการพัฒนาระบบการตรวจสอบย้อนกลับสัตว์น้ำและสินค้าประมงตลอดห่วงโซ่การผลิต รวมทั้งการตรวจสอบด้านแรงงานอย่างเข้มงวด นับตั้งแต่ท่าเรือ ในทะเล จนถึงโรงงานแปรรูป
ขณะที่ นาย Steve Trent ผู้อำนวยการมูลนิธิ EJF ได้กล่าวชื่นชมความก้าวหน้าของไทยในการแก้ไขปัญหาการทำประมง IUU ในเวทีดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ ในงานดังกล่าว ยังมีการมอบรางวัล Seafood Champion เพื่อเชิดชูบุคคลหรือหน่วยงานที่มีผลงานโดดเด่นในการส่งเสริมธุรกิจอาหารทะเลที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งในปีนี้ นางปฏิมา ตั้งปรัชญากูล ผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) ได้รับมอบรางวัล Seafood Champion สาขาการให้ความช่วยเหลือ (Advocacy) สำหรับการอุทิศตนเพื่อคุ้มครองสิทธิแรงงานประมงไทยและต่างด้าวด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทที่แข็งขันของภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือที่สำคัญของทางการไทยในการขจัดแรงงานค้ามนุษย์และแรงงานบังคับ ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติของไทย
ทั้งนี้ ไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียที่ให้สัตยาบันสารพิธีสาร ปี 2014 ของอนุสัญญาว่าด้วยแรงงานบังคับ ปี 1930 และเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน รัฐบาลไทยเตรียมออกกฎหมายภายในที่สอดคล้องกับพิธีสาร เพื่อประสิทธิภาพของการบังคับใช้ต่อไป