บลจ. พรินซิเพิล เสนอขายกองทุนหุ้นชั้นนำทั่วโลก 12-21 ก.ค.นี้

หุ้น-หุ้นกู้-การลงทุน
ภาพ : Pixabay

บลจ. พรินซิเพิล เปิดขายกองทุน PRINCIPAL GQE เป็นกองทุนประเภท Feeder Fund ลงทุนหุ้นคุณภาพสูงชั้นนำทั่วโลกที่มีกำไรเติบโตสม่ำเสมอ ซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท 12-21 กรกฎาคม 2566

วันที่ 11 กรกฏาคม 2566 นายศุภกร ตุลยธัญ, CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดการลงทุนทั่วโลกมีความไม่แน่นอนและผันผวน จากเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวลง สหรัฐและยุโรปมีแนวโน้มเข้าสู่เศรษฐกิจถดถอย

อีกทั้งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีท่าทีปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนกรกฎาคม 2566 ประกอบกับสภาพคล่องที่มีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้นในเศรษฐกิจสหรัฐ จากการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด

ความเสี่ยงดังกล่าวทำให้เรามองว่านักลงทุนควรลงทุนในหุ้นของบริษัทคุณภาพชั้นนำขนาดใหญ่ทั่วโลกที่มีความมั่นคงของธุรกิจและรายได้ ผ่านกองทุนหลักที่บริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญในการคัดเลือกหุ้นและบริหารกองทุนในระยะถัดไป

ศุภกร ตุลยธัญ
ศุภกร ตุลยธัญ

เปิดตัว กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล ควอลิตี้ อิควิตี้

ล่าสุด บลจ.พรินซิเพิล จึงเปิดตัว กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล ควอลิตี้ อิควิตี้ หรือ Principal Global Quality Equity Fund (PRINCIPAL GQE) มีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท (Greenshoe 15%) โดยจะเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 12-21 กรกฎาคม 2566 สั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท

กองทุน PRINCIPAL GQE เป็นกองทุนหน่วยลงทุนประเภท Feeder Fund ที่ลงทุนในกองทุน Fundsmith SICAV-Fundsmith Equity Fund เป็นกองทุนหลักเพียงกองทุนเดียว บริหารโดย “Terry Smith” ผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ด้านการลงทุนกว่า 40 ปี และได้รับยกย่องว่าเป็น Warren Buffet แห่งอังกฤษ

พร้อมทีมนักวิเคราะห์นำโดย “Julian Robins” Head of Research ที่มีประสบการณ์ด้านการลงทุนกว่า 30 ปี Fundsmith LLP เป็นบริษัทจัดการทรัพย์สินชั้นนำในอังกฤษ มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการรวม 3.5 หมื่นล้านปอนด์ (ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท) ณ สิ้นปี 2565 มีผลงานบริหารกองทุน Fundsmith Equity โดยสร้างผลตอบแทนถึง 525.90% (ดัชนีเปรียบเทียบ-World Index เท่ากับ +300.21%) นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553

โดยกองทุนที่ลงทุน Fundsmith SICAV-Fundsmith Equity Fund I USD ให้ผลตอบแทนนับจากต้นปีถึงเมษายน (YTD) 13.6% สูงกว่าดัชนีเปรียบเทียบ (MSCI World Index) ที่ 8.9% และผลงาน 3 ปีและ 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 10.7% และ 9.9% ต่อปีตามลำดับ เทียบดัชนีเปรียบเทียบอยู่ที่ 13% และ 7.6% ต่อปีตามลำดับ

รับรางวัลมอร์นิ่งสตาร์ 5 ดาว

นอกจากนี้ กองทุนหลักยังได้รางวัลมอร์นิ่งสตาร์ 5 ดาว (ที่มา : มอร์นิ่งสตาร์ ณ เมษายน 2566) โดยมุ่งลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงชั้นนำทั่วโลกที่มีกำไรเติบโตสม่ำเสมอ หุ้นในพอร์ตทั้งหมด 100% เป็นบริษัทที่มีกำไรเป็นบวกทั้งหมด นักลงทุนสามารถลงทุนกองทุน PRINCIPAL GQE ให้เป็นหนึ่งพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

ทั้งนี้ หุ้นที่กองทุนหลักลงทุน อาทิ Microsoft ผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่ของโลก, PEPSICO ผู้ผลิตเครื่องดื่ม อาหารและขนมรายใหญ่ของโลก, LVMH เจ้าของแบรนด์แฟชั่นและลักเซอรี่ชั้นนำของโลก เช่น Louis Vuitton, NOVO NORDISK ผู้นำการดูแลสุขภาพระดับโลกที่มีนวัตกรรมรักษาโรคเบาหวานและโรคเรื้อรังร้ายแรงอื่น ๆ,

IDEXX ผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมการดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงและให้บริการระบบวินิจฉัยตรวจจับโรคต่าง ๆ ในสัตว์ ฯลฯ โดยคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom Up จากการพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของหุ้นรายตัว และ High conviction ซึ่งจะถือหุ้น 20-30 ตัว

เน้นหุ้นมีศักยภาพแข่งขันและสร้างกำไรที่ดี

โดยเน้นหุ้นที่มีศักยภาพแข่งขันและสร้างกำไรที่ดีเพื่อลงทุนระยะยาว และไม่ลงทุนในหุ้นที่สัดส่วนรายได้เกินกว่า 5% จากการสกัดหรือเผาไหม้เชื้อเพลิงถ่านหิน น้ำมันและก๊าซ Fundsmith SICAV-Fundsmith Equity Fund วางกลยุทธ์หลัก 3 ข้อเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่กองทุน ได้แก่

1.Only invest in good companies ลงทุนในบริษัทที่ดีเท่านั้น โดยเน้นบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่มีคุณภาพสูง เช่น มีกำไรจากการดำเนินงานสม่ำเสมอและยาวนาน, มีธุรกิจที่ได้เปรียบคู่แข่ง เลียนแบบได้ยาก รับมือการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีได้ดี, มีรายได้สูงและคาดการณ์ได้ เป็นต้น

นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจที่ลงทุนจะต้องมี ROCE (Return on Capital Employed) มากกว่า WACC (Weighted Average Cost of Capital) หรือมีอัตราส่วนวัดประสิทธิภาพความสามารถสร้างผลตอบแทนจากการดำเนินงานที่สูงกว่าเงินทุน โดยกองทุน Fundsmith มี ROCE สูงถึง 32% มากกว่าดัชนี S&P 500 ที่ทำได้ 18%

2.Don’t over pay ลงทุนในหุ้นที่มีราคาเหมาะสม หรือมูลค่าที่แท้จริงต่ำกว่ามูลค่าตลาด โดยเลือกหุ้นของบริษัทที่มี FCF Yield หรือกระแสเงินสดต่อหุ้นที่สูงกว่าดอกเบี้ยระยะยาว และลงทุนในบริษัทที่กระแสเงินสดมีแนวโน้มเติบโต 4-5 เท่า เมื่อเทียบกับกระแสเงินสดที่ได้จากธุรกิจในปัจจุบัน รวมถึงไม่ลงทุนในหุ้นที่ราคาแพงเกินไป

3.Do nothing เน้นลงทุนระยะยาว ไม่ซื้อขายตามภาวะตลาดหากหุ้นที่ถือยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี เนื่องจากการซื้อขายบ่อยเกินไปจะทำให้มีผลตอบแทนลดลง

จากสถิติพบว่าหากลงทุนในตลาดหุ้น S&P 500 ด้วยเงินลงทุน 10,000 ปอนด์ เป็นระยะเวลา 20 ปีนับจากวันที่ 31 ธันวาคม 2545 ถึง 31 ธันวาคม 2565 โดยไม่ซื้อขายหุ้นเลยและนำเงินปันผลมาลงทุนเพิ่ม จะมีเงินเพิ่มขึ้น 666% เป็น 76,581 ปอนด์ และจะขายต่อเมื่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลง ราคาหุ้นแพงกว่าพื้นฐาน หรือพบหุ้นตัวใหม่ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่า

สร้างผลการดำเนินงานดีในช่วงวิกฤต

นอกจากนี้ จากสถิติพบว่านับจากจัดตั้งกองทุน Fundsmith เมื่อปี 2553 สามารถสร้างผลการดำเนินงานในช่วงวิกฤตได้ดีกว่าดัชนีเปรียบเทียบ (MCSI World Index) เช่น ในช่วงที่เกิดสงครามการค้าสหรัฐอเมริกา-จีน (18 พ.ค.2558-11 ก.พ. 2559) กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทน 6.15% เทียบกับดัชนีเปรียบเทียบที่ให้ผลตอบแทนติดลบ 10.54% และหากย้อนหลังช่วงเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยปี 2551 รายชื่อหุ้นที่ลงทุนยังสามารถสร้างกำไรเป็นบวกได้

ทั้งนี้ กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล ควอลิตี้ อิควิตี้ หรือ Principal Global Quality Equity Fund (PRINCIPAL GQE) จะเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 12-21 กรกฎาคม 2566 สั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท พิเศษช่วง IPO สำหรับผู้ลงทุนคิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fees) 1% ของมูลค่าหน่วยลงทุน และหลัง IPO คิดค่าธรรมเนียมการขายที่ 1.50% ของมูลค่าหน่วยลงทุน