สมรภูมิเดือดหมดยุคเสือนอนกิน 5 แบงก์ใหญ่เปิดเกมเฉือนเนื้อ “ยกเลิกค่าฟี” ธุรกรรมดิจิทัล ชิงลูกค้าเงินฝาก 90 ล้านบัญชี สกัดย้ายค่ายดึงลูกค้าขึ้นบนมือถือ ปิดประตูคู่แข่งนอกวงการ ชี้จุดเริ่มสงครามปั๊มรายได้ผ่านโมบายแบงกิ้ง “ปรีดี ดาวฉาย” ย้ำจุดเปลี่ยนแบงก์ไทยกำไรวูบ ปิดสาขาเร็วขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรฯเผยกระทบรายได้แบงก์ปีละ 2 หมื่นล้าน จับตาเกมใหม่ “ดิจิทัลไอดี” กรุงศรีฯจัดหนักคืนเงิน 5 บาท/บิล
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า สมรภูมิการแข่งขันของอุตสาหกรรมแบงก์พาณิชย์มาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ หลังจากธนาคารไทยพาณิชย์ (เอสซีบี) เปิดเกมรบใหม่ด้วยการชิงธงยกเลิกค่าธรรมเนียม (ค่าฟี) การโอนเงินทั้งข้ามธนาคาร ข้ามเขต จ่ายบิล เติมเงินบนแพลตฟอร์มมือถือ ตั้งแต่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ทำให้แบงก์พาณิชย์ใหญ่ ทั้งกสิกรไทย กรุงไทย และแบงก์กรุงเทพ ต่างประกาศยกเลิกค่าฟีแบบตลอดชีพ (ยกเว้นแบงก์กรุงไทยถึงสิ้นปี 2561) ตามมา และล่าสุดธนาคารกรุงศรีอยุธยา รวมทั้งเกียรตินาคิน ธนชาต ก็ยกเลิกค่าฟีเช่นกัน เพื่อรักษาฐานลูกค้าไม่ให้ย้ายค่ายไปหาคู่แข่ง โดยทุกแบงก์ยอมเฉือนเนื้อรายได้ค่าฟี เรียกว่า “หมดยุคเสือนอนกิน” ของแบงก์พาณิชย์
- เปิด 20 อันดับมหาวิทยาลัย ที่โดดเด่นด้านวิศวกรรมศาสตร์
- กรุงไทย ปิดระบบ-แอป Next 11-12 และ 14 พ.ค. นี้ เช็กรายละเอียด
- เปิดทรัพย์สิน-งบการเงิน “มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล” ย้อนหลัง 5 ปี
สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมรวมของแบงก์ทั้งระบบของปี 2560 อยู่ที่ 1.88 แสนล้านบาท และเป็นตัวเร่งให้ลูกค้าแบงก์ย้ายขึ้นไปอยู่บนมือถือเร็วขึ้น ถือเป็นการเปิดสงครามรอบใหม่ของอุตสาหกรรมแบงก์ และสร้างจุดเปลี่ยนการแข่งขันในการก้าวสู่ยุคสังคมไร้เงินสดแบบเต็มตัว
เปิดเกมดูดลูกค้า “ย้ายค่าย”
นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส chief marketing officer ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การยกเลิกค่าธรรมเนียมการโอนเงินข้ามเขต จ่ายบิล เติมเงิน กดเงินไม่ใช้บัตร ส่งผล กระทบต่อค่าฟีของธนาคารหลายร้อยล้านบาท แต่ทำให้ลูกค้าเข้ามาอยู่บนแอปพลิเคชั่น และเปิดใช้แอปพลิเคชั่นมากขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดจะหนุนให้จำนวน ทรานแซ็กชั่น ผ่านแอปบนมือถือเพิ่มขึ้น 20-30% หลังยกเลิกค่าฟีครั้งนี้
“ยอดลูกค้าที่จะหันมาสมัครแอปอาจไม่ใช่เฉพาะลูกค้าธนาคารเท่านั้น แต่ธนาคารมีโอกาสได้ทั้งลูกค้าธนาคารอื่น และลูกค้าจากน็อนแบงก์ คาดว่าในครึ่งปีแรกจะเห็นยอดดาวน์โหลดแอป SCB EASY เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 8 ล้านบัญชี และสิ้นปีเพิ่มเป็น 10 ล้านบัญชี จากปัจจุบันมี 6.5 ล้านบัญชี ขณะที่ยอดการใช้งานผ่านแอปจะมียอดแอ็กทีฟเพิ่มขึ้นแตะระดับ 80% จากปัจจุบัน 75%
และเมื่อลูกค้าอยู่บนแอป ไม่ต้องไปทำธุรกรรมที่สาขา ค่าฟีที่หายไปถือว่าคุ้ม และอยู่ระหว่างการเซอร์เวย์ธุรกรรมอื่น ๆ ที่มีการคิดค่าฟี อาจขยายผลการยกเลิกค่าฟีไปสู่บริการอื่นด้วย แต่ธุรกรรมที่ตู้เอทีเอ็มยังไม่มีแผนที่จะลด”
ตีกันแพลตฟอร์มต่างชาติ
นายธนากล่าวว่า เหตุผลสำคัญของการลดค่าฟี ไม่ใช่แข่งกับแบงก์ด้วยกันเอง แต่สิ่งที่กลัวคือ การดิสรัปต์จากแพลตฟอร์มต่างประเทศ เช่น อาลีบาบา หรืออื่น ๆ ที่เข้ามา เพราะท้ายที่สุดก็หวังเข้าไปปล่อยสินเชื่อให้ ดังนั้นการที่แบงก์เริ่มก่อน และดึงคนมาอยู่บนดิจิทัลได้มากที่สุดจะเพิ่มโอกาสการอยู่รอดมากขึ้น
“การมีคู่แข่งทำให้เกิดการแข่งขัน และเราก็เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการแข่งขัน แต่ทุกอย่างที่ทำไม่ได้เพื่อขึ้นเบอร์หนึ่ง แต่กลัวคนที่อยู่นอกสนามมากกว่า เราเห็นแบงก์ล่มกันเยอะเพราะแพลตฟอร์มต่างประเทศ”
ต่อยอดปล่อยกู้-ขายกองทุน
นายธนากล่าวอีกว่า การดึงลูกค้ามาอยู่บนแอปจะสร้างรายได้ให้ธนาคารในอนาคต เพราะวันนี้สิ่งสำคัญคือ การมีดาต้าข้อมูลลูกค้า เมื่อข้อมูลลูกค้าชัดเจนธนาคารจะเข้าไปปล่อยกู้ผ่านแอปพลิเคชั่นได้ ปัจจุบันธนาคารเริ่มปล่อยกู้ให้ลูกค้าผ่านแอปแล้วราว 7 หมื่นทรานแซ็กชั่น และในอนาคตจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
การที่ธนาคารมีข้อมูลชัดเจนขึ้นทำให้แยกกลุ่มลูกค้าได้ชัดเจน และอาจนำไปสู่การลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้ลูกค้าที่ดีเป็นรายคนได้ ต่างจากปัจจุบันที่การคิดดอกเบี้ยเงินกู้เป็นแบบเหมาเข่ง มีการนำความเสี่ยงจากกลุ่มลูกค้าไม่ดีเข้ามาด้วย ทำให้การคิดดอกเบี้ยกู้อยู่ในระดับสูง และการดึงให้คนมาอยู่บนดิจิทัลธนาคารจะมียอดเงินฝากเพิ่มทำให้ลูกค้าซื้อกองทุนมากขึ้น ดังนั้นธุรกรรมเหล่านี้จะยิ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และสร้างรายได้ให้ธนาคารในอนาคต
สาขาปิดตัวเร็วขึ้น-ลดรายจ่าย
ขณะที่นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า การแข่งกันลดค่าฟีทำให้เกิดจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมแบงก์ที่ต้องปรับตัวหลายด้าน เพราะรายได้จากค่าฟีที่เคยมีลดลง รวมถึงสาขาแบงก์ที่อาจเห็นการทยอยปรับลดลงเร็วกว่าที่ประเมินไว้
โดยสาขาแบงก์มีบทบาทลดลงต่อเนื่องจากปี 2558 ที่ธนาคารพาณิชย์ 14 แห่งมีสาขาอยู่ที่ 7,000 สาขา มาลดลงแตะ 6,900 สาขาในปี 2559 และปี 2560 ลดลงมาเกือบแตะระดับ 6,600 สาขาแล้ว ดังนั้นพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจึงเป็นตัวเร่งให้เกิดความต้องการสาขาน้อยลง ทำให้แบงก์ต้องปรับตัวมากขึ้นในอนาคต
“หากผู้บริโภคเปลี่ยนเร็ว ผลกระทบต่อระบบแบงก์ก็เร็วขึ้น เพราะหากลูกค้าย้ายมาอยู่บนมือถือหลังแบงก์ลดค่าฟี แบงก์ก็จะไม่มีรายได้ค่าฟีที่ยกเลิกทันที ก่อนตัดสินใจลดค่าฟีทุกคนก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รายได้กระทบทันที และจะเห็นชัดขึ้นในไตรมาส 2 ขณะที่แบงก์ก็ต้องพยายามลดรายจ่าย คือลดการใช้เงินสด เพราะแต่ละปีทั้งอุตสาหกรรมมีต้นทุนบริหารเงินสดกว่า 1 แสนล้านบาท พร้อมกับหารายได้เพิ่ม อย่างไรก็ตามต่อไปคงไม่เห็นผลประกอบการแบงก์โตสูงเหมือนเมื่อก่อน เพราะแม้ว่าจะพยายามเพิ่มรายได้หรือลดรายจ่าย แต่ก็จะไม่ทันกับรายได้ที่หายไป” นายปรีดีกล่าว
ทั้งนี้ หากดูยอดชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์สิ้นปี 2560 ปริมาณการทำธุรกรรมผ่านโมบายแบงกิ้งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอยู่ที่ 1 ล้านล้านทรานแซ็กชั่น จากปี 2559 ธุรกรรมผ่านโมบายเพียง 6 แสนล้านทรานแซ็กชั่น
สงครามค่าฟี “ลาม” บริการอื่น
นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า จากการยกเลิกค่าฟีครั้งนี้คาดว่าจะมีผลกระทบราว 10-15% จากค่าฟีรวมของธนาคาร เพราะปัจจุบันการทำธุรกรรมของลูกค้าธนาคารส่วนใหญ่อยู่ออนไลน์ 60-70% ขณะที่อีก 30% เป็นการทำธุรกรรมผ่านตู้เอทีเอ็มและช่องทางอื่น ๆ วันนี้ธนาคารมีลูกค้าแอปอยู่ที่ 8.1 ล้านบัญชี ก็คาดว่าสิ้นปีนี้ก็น่าจะเห็นลูกค้าแอปอยู่ที่ 10 ล้านบัญชี
“วันนี้แบงก์ต้องยอมเสียค่าธรรมเนียม เราก็ต้องตัดใจ และอนาคตก็อาจเห็นแบงก์ขยายลดค่าฟีในช่องทางอื่น ๆ ด้วย เช่น เอทีเอ็ม เพราะทิศทางไปทางนี้ แต่ถามว่าอนาคตจะเป็นไปได้หรือไม่ที่ลูกค้าที่เคยใช้ 3 แบงก์จะย้ายมาแบงก์เราก็เป็นไปได้ ซึ่งอาจทำให้เราสามารถหักกลบกับรายได้ส่วนที่หายไปได้บ้าง แต่วันนี้ตั้งแต่ลดค่าฟีสิ่งที่เห็นทันทีคือ ยอดการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว จาก 1.2 หมื่นครั้งต่อวินาที เป็น 2.5 หมื่นครั้งต่อวินาที ที่กดมาทำรายงานผ่านแอปธนาคาร” นายพัชรกล่าว
เกมใหม่ปั๊มรายได้โมบายแบงกิ้ง
ขณะที่นายฐากร ปิยะพันธ์ ผู้บริหารสายงานดิจิทัลแบงกิ้งและนวัตกรรม ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การที่ธนาคารขนาดใหญ่ออกมาแข่งยกเลิกค่าธรรมเนียมรอบนี้ ส่วนหนึ่งคือต้องการรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ภายใต้การแข่งขันที่ร้อนแรง รวมถึงต้องการหาจังหวะเพิ่มฐานลูกค้า เพราะการแข่งยกเลิกค่าฟีครั้งนี้แบงก์ไหนขยับก่อนก็ถือว่าได้เปรียบเพราะเชื่อว่าผู้บริโภคจะมีทางเลือกมากขึ้น ดังนั้นแบงก์ไหนไม่ลดก็อาจสูญเสียลูกค้าได้ เพราะไม่เพียงแค่ลูกค้าแบงก์เท่านั้นที่ต้องการหาแบงก์หลักในการใช้ทำธุรกรรม โอน จ่าย เติม แต่ลูกค้าน็อนแบงก์ที่ทำอีวอลเลตต่าง ๆ ก็อาจย้ายมาใช้แอปของธนาคารได้
“ปัจจุบันบัญชีเงินฝากทั้งระบบมีกว่า 90 ล้านบัญชี ประชากรของประเทศราว 75% มีบัญชีเงินฝาก ขณะที่มียอดการสมัครแอปพลิเคชั่น หรือโมบายแบงกิ้ง 33 ล้านบัญชี แต่ในจำนวนนี้คนหนึ่งมี 1-2 บัญชี แต่เมื่อทุกแบงก์เลิกค่าฟี คนก็ไม่จำเป็นมีหลายแอปหลายธนาคารแล้ว เพราะมีแบงก์เดียวก็สามารถทำธุรกรรมได้ครบหมด ทำให้ลูกค้าจะเก็บเงินไว้ในบัญชีนานขึ้น ไม่จำเป็นต้องกระจายเงินไปบัญชีอื่น ๆ เหมือนแต่ก่อน ซึ่งการเลิกค่าฟีธนาคารยอมแลกเพราะจะได้อะไรอีกเยอะมากจากโมบายแบงกิ้ง” นายฐากรกล่าว
“ดิจิทัลไอดี” จุดเปลี่ยน
นายฐากรกล่าวว่า ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างรวดเร็วไปบนแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการใช้งานผ่านตู้เอทีเอ็มน้อยลง โดยเมื่อปี 2560 การกดเงินผ่านตู้เอทีเอ็มทั้งระบบอยู่ที่ 8 ล้านล้านบาท แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็น่าจะทำให้การกดเงินสดลดลง 20-30% ในปีนี้
รวมถึงกระทบต่อการทำธุรกรรมที่สาขาให้ลดลงต่อเนื่อง เพราะการทำธุรกรรมบนดิจิทัลทำเกือบได้ครบ และอนาคตเมื่อเกิดดิจิทัลไอดี หรือการพิสูจน์ตัวตน e-KYC ที่มีการเชื่อมต่อข้อมูลทุกอย่าง ทั้งข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลราชการ หรือต่าง ๆ จะยิ่งทำให้การทำธุรกรรมในสาขาลดลงไปอีก เพราะเมื่อมีการใช้ดิจิทัลไอดี แบงก์สามารถดึงข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ มาใช้ ลูกค้าไม่จำเป็นต้องไปสาขาเพื่อเปิดบัญชีอีกแล้ว ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสาขาแบงก์ที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจากนโยบายของคลังกำหนดให้เริ่มนำมาใช้ในช่วงกลางปีนี้
โดยปัจจุบันธนาคารกรุงศรีฯมีลูกค้าบัญชีเงินฝาก 6 ล้านบัญชี และลูกค้าแอป 3 ล้านบัญชี ขณะที่ยอดแอ็กทีฟอยู่ที่ 1.6-1.7 ล้านบัญชี เมื่อธนาคารยกเลิกค่าฟีก็จะกระตุ้นให้ลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่หันมาสมัครแอปเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าสิ้นปีลูกค้าแอปจะอยู่ที่ 3.5 ล้านบัญชี และจำนวนแอ็กทีฟจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 ล้านบัญชี
สำหรับธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประกาศยกเลิกค่าธรรมเนียมเป็นแบงก์ที่ 5 โดยฟรีค่าธรรมเนียมบนช่องทางดิจิทัล โอนเงินข้ามเขตข้ามธนาคาร จ่ายบิลค่าสินค้าและบริการ เติมเงินมือถือ และกดเงินผ่านแอปของธนาคารแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง เพิ่มเติมจากเดิมที่ให้กดเงินฟรีที่ตู้ ATM ทั่วประเทศ ตั้งแต่ 1 เม.ย.เป็นต้นไป และพิเศษสำหรับลูกค้าที่ทำธุรกรรมจ่ายบิล ทุกบิลจะได้รับเงินคืน 5 บาท (cash back) ทุกบิลผ่านช่องทางออนไลน์เป็นเวลา 6 เดือน สูงสุด 30 บาทต่อเดือน ตั้งแต่ 1 เม.ย.-30 ก.ย. 2561
แบงก์โยกขึ้นค่าฟีบริการอื่น
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจุบันสัดส่วนค่าธรรมเนียมประเภทการโอนเงินต่าง ๆ ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์รวมพร้อมเพย์ อยู่ที่ 7-10% ของค่าฟีทั้งหมด ดังนั้นหากประเมินค่าฟีที่อาจลดลงจากการยกเลิกค่าฟีของธนาคารน่าจะอยู่ที่ปีละ 15,000-20,000 ล้านบาท โดยในส่วนของปีนี้น่าจะอยู่ที่ 9,000 ล้านบาท
การยกเลิกค่าฟีการโอนต่าง ๆ จะเป็นผลกระทบระยะสั้นต่อธุรกิจธนาคาร ทำให้ค่าฟีชะลอตัวลง แต่ยังมีการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธนาคารมีรายได้ค่าฟีมาจากหลายส่วน ซึ่งส่วนอื่น ๆ ยังมีการเติบโตดี เช่น ค่าฟีจากการเป็นนายหน้าขายกองทุน บัตรเครดิต บริการรับฝากทรัพย์สิน ฯลฯ แม้ว่าระยะสั้นมองว่าจะกระทบกับกำไรบางส่วนของธนาคารแต่ไม่กระทบมากนัก เพราะธนาคารต้องมีการบริหารจัดการต้นทุนผ่านการเพิ่มค่าฟีบริการใหม่ ๆ ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมมีสัดส่วนเพียง 20% ของรายได้รวม
“การลดค่าฟีของธนาคารจะเป็นการดึงดูดฐานลูกค้าใหม่ให้เข้ามาใช้บริการ ส่วนหนึ่งธนาคารจะได้ฐานข้อมูล และจะต่อยอดให้ธนาคารสามารถครอสเซลไปผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้ และจะได้รายได้กลับมาในทางอื่น ๆ เช่น รายได้ฝั่งสินเชื่อ ฯลฯ” นางสาวธัญญลักษณ์กล่าว
อย่างไรก็ตามปี 2560 ที่ผ่านมาฐานรายได้ค่าฟีทั้งภาคธุรกิจอยู่ที่ 190,000 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าฟีการโอนเงินที่มาจากช่องทางอิเล็กทรอนิกส์รวมทั้งพร้อมเพย์ประมาณ 20,000 ล้านบาท
เคแบงก์กระทบหนักสุด
นางสาวอุษณีย์ ลิ่วรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผลกระทบจากการยกเลิกค่าฟีคิดเป็น 5% ของรายได้ค่าธรรมเนียมทั้งหมด ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมที่เหลือส่วนใหญ่ของแบงก์ได้แก่ กำไรขาดทุนจากเงินลงทุน, กำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX), ที่ปรึกษาการเงิน, การให้สินเชื่อและการขายประกันยังคงมีแนวโน้มขยายตัว ซึ่งการลดค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะบั่นทอนการเติบโตของค่าธรรมเนียมโดยรวม และอาจจะกดดันการเติบโตระยะยาว
ขณะที่คาดว่าการแข่งขันในรอบนี้แบงก์ที่จะถูกผลกระทบมากที่สุดคือกสิกรไทย เพราะมีฐานลูกค้าออนไลน์มากที่สุด คาดว่าจะมีผลกระทบประมาณ 6-7% ของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยรวม, ตามมาด้วยไทยพาณิชย์ ราว 4-5% ของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยรวม, กรุงไทย 4% ของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยรวม และธนาคารกรุงเทพราว 5% ของรายได้ค่าธรรมเนียมรวม
อย่างไรก็ตาม มองว่าแม้เบื้องต้นการยกเลิกค่าฟีอาจมีผลกระทบต่อแบงก์บ้าง แต่ระยะยาวถือว่าเป็นประโยชน์เพราะจะมีฐานลูกค้าที่มาใช้ช่องทางดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้แบงก์ได้ข้อมูลลูกค้าเพื่อไปวิเคราะห์ว่าจะออกโปรดักต์หรือผลิตภัณฑ์อะไรที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ในอนาคต ซึ่งข้อมูลลูกค้าในยุคปัจจุบันถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ประกอบกับยังช่วยลดต้นทุนการบริหารจัดการเงินสด และแผนในการลดสาขารวมถึงจำนวนพนักงานของแบงก์ได้มากขึ้น
“อีวอลเลต” ปรับตัวสู้
นายปุณมาศ วิจิตรกุลวงศา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การยกเลิกค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านแอปพลิเคชั่นของธนาคารพาณิชย์สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของธุรกิจจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อรักษาลูกค้าเดิม และขยายฐานลูกค้ามายังกลุ่มใหม่ที่ได้รับความสะดวกจากการใช้บริการโมบายแบงกิ้ง ขณะเดียวกันส่งผลให้บริการประเภทอีวอลเลตต่าง ๆ ต้องปรับตัว และสร้างคุณค่าให้กับบริการของตนเองมากขึ้น ซึ่งบริการ “ทรูมันนี่” มีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
ด้านนายอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้จัดการ ไลน์ ประเทศไทย กล่าวว่า การทำธุรกิจในปัจจุบันต้องเข้าใจในเทคโนโลยีเพื่อที่จะคิดบริการใหม่ ๆ และให้ความสำคัญกับดาต้าเพื่อเพิ่มความเร็วในการพัฒนาบริการให้ดีขึ้น และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า อย่ายึดติดกับรูปแบบเดิม ๆ ดังเช่น กรณีเอสซีบี ปกติแบงก์จะมีแอปพลิเคชั่นโมบายแบงกิ้งอยู่แล้ว คือ “เอสซีบี อีซี่” แต่การผลักดันให้คนมาโหลดแอปพลิเคชั่นคงยาก หากเดินเกมเดียวกับคู่แข่งต้องใช้เวลาจึงก้าวข้ามแอปพลิเคชั่น โดยนำบริการฝังไว้ในแอปพลิเคชั่น “ไลน์” ด้วย ทำให้มีคนเข้ามาใช้บริการถึง 2 ล้านรายภายในเวลาไม่กี่เดือน และทำให้มีประสบการณ์การใช้งานผ่านแอปพลิเคชั่นดีขึ้นจากต้องกดแอปพลิเคชั่นถึง 4 คลิก แต่เมื่อมาอยู่ในไลน์เพียงแค่คลิกเดียว
ฟาดหางธุรกิจเพย์เมนต์
นายมนตรี สิทธิญาวณิชย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ห้างเซ็นทรัล ดีพาทเมนท์สโตร์ จำกัด ผู้ให้บริการชำระเงิน CenPay กล่าวว่า จากการแข่งขันลดค่าฟีที่เกิดขึ้นส่งผลให้ในอนาคตบริษัทมีการปรับลดค่าฟีลงเพื่อแข่งขันเช่นกัน โดยปัจจุบันบริษัทคิดค่าบริการอยู่ที่ 5-7 บาท/รายการ แต่บริษัทมีจุดแข็งคือความร่วมมือจากพันธมิตรในเครือข่าย มีแคมเปญเพื่อดึงดูดความสนใจลูกค้า เช่นสะสมคะแนนและเป็นเงินเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ ชิงโชค ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีจุด CenPay กว่า 8,000 จุดทั่วประเทศ แต่อย่างไรก็ตามจากการแข่งขันลดค่าฟีที่เกิดขึ้นอาจส่งผลให้ในอนาคตทางบริษัทมีการปรับลดค่าฟีลงเพื่อแข่งขันเช่นกัน