ฟันธงดัชนี SET ปี 2567 ฟื้นยืนเหนือ 1,600 จุด

กองทุน

“บล.บัวหลวง-บลจ.วรรณ” ประเมินดัชนี SET สิ้นปียืนไม่ต่ำ 1,400 จุด มองข้ามชอตปีหน้าหุ้นไทยทะยานสูงกว่า 1,600 จุด รับปัจจัยงบประมาณเบิกจ่าย-รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวฟื้น ลุ้นเศรษฐกิจ “สหรัฐ-จีน” ฟื้นตัว

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปี 2566 นี้จะมีกรอบอยู่ที่ 1,350-1,450 จุด

เนื่องจากปีนี้รัฐบาลยังไม่ได้ออกมาตรการที่จะช่วยหนุนตลาดทุน ทั้งงบประมาณปี 2567 ที่ยังไม่มี รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มาน้อยกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ดังนั้นจึงไม่มีตัวที่จะกระตุ้นตลาดได้มากนัก

“การเปิดขายกองทุน Thai ESG ในช่วงปลายปี คาดว่าจะมีคนซื้อ และจะมี Window Shopping โดยหากกอง Thai ESG มีเม็ดเงินเข้าถึง 10,000 ล้านบาท ในช่วงที่ต่างชาติไม่ซื้อขาย และวอลุ่มค่อนข้างต่ำ เชื่อว่า SET จะถึง 1,400 จุดได้”

นายพจน์กล่าวว่า สำหรับปี 2567 คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะกลับมาดีขึ้นหากมีงบประมาณออกมาเบิกจ่าย การเมืองมั่นคง นักท่องเที่ยวกลับมามากขึ้น การส่งออกกลับมาเป็นบวก

พจน์ หะริณสุต
พจน์ หะริณสุต

โดยคาดว่าดัชนี SET ที่ 1,655 จุด ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ย แล้วธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดดอกเบี้ยตาม จะทำให้การจ่ายปันผลกลับมาดีขึ้น และยิ่งหากสงครามไม่ลุกลามมากขึ้น ก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยดีขึ้น

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนตลอดปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวแย่กว่าตลาดเอเชีย, ตลาดหุ้นสหรัฐ และตลาดหุ้นยุโรป จากหลายปัจจัยกดดัน แต่ในช่วงเดือน ธ.ค.นี้ คาดว่าตลาดทั่วโลกจะฟื้นตัวกลับมาบ้าง หลังเริ่มรับรู้ปัจจัยดอกเบี้ยของเฟดที่ได้ผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว และคาดหวังจะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยในปี 2567

“เรามองตลาดหุ้นไทยเดือนสุดท้ายของปีนี้จะขึ้นไม่ได้มาก มองระดับ 1,430 จุด โดยเม็ดเงินจากกองทุนรวม TESG ที่จะเข้าซื้อหุ้นในเดือน ธ.ค. อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาด แต่ไม่ได้มากจนมีนัยผลักดันดัชนีหุ้นไทย”

สำหรับมุมมองตลาดหุ้นไทยปี 2567 ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวงประเมินว่า น่าจะเห็นการฟื้นตัวตลอดทั้งปี โดยประเมินเป้าหมายดัชนีระดับ 1,600 จุด โดยคาดว่างบประมาณน่าจะผ่านในช่วงต้นปี ฉะนั้นการเบิกจ่ายงบฯจะกลับเข้าสภาวะปกติ โดยในปี 2566 เป็นปีที่การลงทุนของภาครัฐไม่ต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2567 รัฐจะเริ่มลงทุนในโครงการต่าง ๆ ทำให้การลงทุนของรัฐกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เช่น เส้นทางหลวง และรถไฟความเร็วสูง

“มองตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีแรกจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวดีขึ้น จากความคาดหวังการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีความชัดเจนมากขึ้น, ความกังวลต่ออัตราดอกเบี้ยเริ่มน้อยลง, ความกังวลสถานะการตึงตัวของระบบการเงินที่น้อยลง และกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) อาจเติบโตประมาณ 15%

ซึ่งจะใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยอัตราเติบโตกำไรของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ส่วนในแง่ Valuation ของตลาดหุ้นไทย ค่า P/E คาดว่าจะซื้อขายระดับ 16.50 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย P/E ระยะยาวของไทย (ปัจจุบันคาดการณ์ค่า P/E ปี 2567 เท่ากับ 14 เท่า) เทียบกับปี 2566 ที่อยู่ 16.40 เท่า”

นายชัยพรกล่าวว่า ส่วนการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในไทย มองว่ายังต้องพึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งจีนเป็นหัวเรือใหญ่ของเศรษฐกิจเอเชียและอาเซียน หากตัวเลขเศรษฐกิจจีนขยายตัวได้ดีขึ้น จากมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขาดเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น และการกีดกันการค้าของสหรัฐต่อจีนน้อยลง ก็จะทำให้เงินไหลเข้าอาเซียนและไทยเพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน

แต่หากแนวโน้มเศรษฐกิจจีนยังดูไม่ดีและแย่ลงไปอีก การคาดหวังเม็ดเงินเข้าตลาดหุ้นและตราสารหนี้ไทยเพิ่มมากขึ้นก็จะลำบาก