กกร.คงเป้าจีดีพีโต4.3-4.8% ชี้น้ำท่วมไม่กระทบพื้นที่อุตสาหกรรมหลัก

กรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน กกร.ยังคงเป้า GDP ปีཹ โต 4.3-4.8% ส่วนการส่งออกจะขยายตัว 7-10% เป็นผลมาจากการส่งออก-ท่องเที่ยว-การบริโภค-ลงทุนเอกชนขยายตัว รายได้เกษตรกรเริ่มกลับมาเป็นบวก ชี้น้ำท่วมยังไม่กระทบพื้นที่อุตสาหกรรม ไม่เสียหายเหมือนปี 2554 

นายปรีดี ดาวฉาย ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2561 ยังคงขยายตัว 4.3-4.8% ตามเป้าที่ตั้งไว้ ขณะที่การส่งออกจะเติบโต 7.0-10.0% และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.9-1.5% ซึ่งเป็นกรอบประมาณการเมื่อเดือนกรกฎาคมของ กกร. โดยเป็นผลมาจากแรงหนุนของการส่งออกและการท่องเที่ยว อีกทั้งมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัว ขณะที่รายได้เกษตรกรกลับมาเป็นบวกติดต่อกัน ซึ่งจะช่วยประคองกำลังซื้อของฐานรากไม่ให้แย่ลง

อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจ กกร.จะประเมินอีกครั้งในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ หรือประเมินทุก ๆ 3 เดือน โดยยังคงติดตามประเด็นเศรษฐกิจต่างประเทศโดยเฉพาะการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ซึ่งแม้ว่าในปีนี้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังมีจำกัด แต่ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอาจจะมีเพิ่มขึ้นในปีหน้า ถ้าสหรัฐเก็บภาษีจากจีนมากขึ้นทั้งรายการสินค้าและอัตราภาษี รวมทั้งจะส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินในภูมิภาคให้ยังมีแนวโน้มผันผวนอ่อนค่าลงตามการอ่อนค่าของเงินหยวนด้วย ส่วนปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนนั้น สถานการณ์ค่าเงินบาทในขณะนี้ “ไม่น่ากังวล” เนื่องจากเปลี่ยนแปลงไปตามภูมิภาคและไม่เกิดความผันผวนมากนัก

ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สถานการณ์อุทกภัยในประเทศที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ ภาคอุตสาหกรรมยังไม่ได้รายงานผลกระทบเข้ามา ประกอบกับพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมที่รัฐบาลประกาศ ยังคงเป็นโซนที่มีโรงงานอุตสาหกรรมไม่มาก ดังนั้นอาจต้องรอประเมินเรื่องของปริมาณน้ำฝนที่จะตกต่อเนื่องต่อไปหรือไม่ แต่ ส.อ.ท.ก็ยังห่วงผู้ประกอบการรายเล็กอย่าง SMEs ที่อยู่นอกนิคมอุตสาหกรรม ถ้าหากเกิดน้ำท่วมจะแบกภาระและจะได้รับผลกระทบมากกว่ารายใหญ่ ๆ

สำหรับการต้องติดตามปริมาตรน้ำในเขื่อนทั่วประเทศพบว่า อยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2554 เบื้องต้น กกร.ประเมินว่า สถานการณ์น้ำในขณะนี้น่าจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงเท่ากับมหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 เนื่องจากปริมาตรน้ำในเขื่อนที่สูงนั้นอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันตกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือแตกต่างจากในปี 2554 ที่ผลกระทบเกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางที่เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมเป็นหลัก รวมถึงการคาดการณ์จำนวนพายุที่จะเข้ามาในช่วงฤดูฝนที่เหลือของปีนี้น่าจะไม่มากเท่ากับในช่วงเดียวกันของปี 2554

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ทางสภาหอฯได้ประเมินผลกระทบไว้ในเชิงบวกมากกว่าลบ สินค้าบางตัวที่ถูกกีดกันไทยจะได้โอกาสจากบริษัทที่เข้ามาลงทุนในไทยและผลิตส่งไปขายยังทั้ง 2 ประเทศได้ เช่น ไทยจะสามารถส่งออกไปยังสหรัฐได้แทนสินค้าจีน ขณะที่อุตสาหกรรมเหล็ก-อะลูมิเนียม-เครื่องใช้ไฟฟ้า-เครื่องซักผ้า ก็ยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ แต่ยังไม่ชัดเจนหรือรุนแรงมาก