คอลัมน์ Look Around
ทุกวันนี้ เวลาต้องการแลกเหรียญกษาปณ์ (เหรียญเงินบาท) จะต้องไปแลกที่หน่วยจ่ายแลก ศูนย์บริหารจัดการเหรียญกษาปณ์ของกรมธนารักษ์ ที่มีอยู่จำนวน 6 แห่งทั่วประเทศ คือ จังหวัดเชียงใหม่ นครสวรรค์ อุบลราชธานี ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี และสงขลา และการแลกผ่านธนาคารต่าง ๆ
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
แต่ช่องทางเหล่านี้ก็มีข้อจำกัด เพราะสามารถให้บริการได้เฉพาะช่วงเวลาทำการ และจำกัดปริมาณในการรับแลกคืนเหรียญ
อีกอย่าง เดี๋ยวนี้มีธุรกิจขายสินค้าและบริการผ่านเครื่องอัตโนมัติ (ตู้กด) เป็นจำนวนมาก เช่น ตู้เติมเงินโทรศัพท์ ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ เป็นต้น ซึ่งทำให้มีความต้องการใช้เหรียญเงินกันจำนวนมากทีเดียว
ทางกรมธนารักษ์จึงได้เพิ่มช่องทางใหม่ ให้บริการรับแลกคืนเหรียญกษาปณ์เคลื่อนที่ (Mobile Coin Unit) ขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้มากขึ้น
ซึ่ง “อำนวย ปรีมนวงศ์” อธิบดีกรมธนารักษ์ บอกว่า เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในท้องตลาดมี 6 ชนิดราคา ได้แก่ เหรียญ 25 สตางค์ 50 สตางค์ 1 บาท 2 บาท 5 บาท และ 10 บาท โดยปัจจุบันทุกชนิดราคามีการใช้จ่ายประมาณปีละ 3,000 ล้านเหรียญ และมีเหรียญทุกชนิดราคาอยู่ในระบบเศรษฐกิจมากกว่า 32,000 ล้านเหรียญ มูลค่าประมาณ 50,000 ล้านบาท
“ขณะที่มีการนำเหรียญกษาปณ์มาแลกคืนเพียง 30% เท่านั้น”
การให้บริการรับแลกคืนเหรียญกษาปณ์เคลื่อนที่ จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะกระตุ้นให้ประชาชนที่เก็บเหรียญไว้ในกระปุกออมสิน หรือตามที่ต่าง ๆ นำออกมาแลกคืนได้สะดวกขึ้น และสามารถลดต้นทุนการผลิตเพิ่มได้ถึง 86 ล้านบาท
โดยในช่วงแรก ๆ กรมธนารักษ์จะนำรถออกไปให้บริการนำร่องในพื้นที่ต่าง ๆ ของจังหวัดปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียง ที่ยังไม่มีศูนย์บริหารจัดการเหรียญกษาปณ์ รวม 14 จังหวัด
“เราตั้งเป้าหมายการรับแลกคืนเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนทุกชนิดราคา เดือนละ 5 ล้านเหรียญ หรือ 60 ล้านเหรียญต่อปี” อธิบดีกรมธนารักษ์ระบุ
ต่อไปก็จะเห็นรถเคลื่อนที่เยอะขึ้น ซึ่งคนที่ต้องแลกเหรียญเป็นประจำ โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ขาย จะได้รับความสะดวกมากขึ้น