ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (3 ธ.ค.) ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ระดับ 30.27 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยกรอบเงินบาทวันนี้อยู่ที่ 30.20-30.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
โดยในช่วงคืนที่ผ่านมาตลาดหุ้นฝั่งสหรัฐเข้าสู่โหมดปิดรับความเสี่ยง (Risk Off) โดยดัชนี S&P500 ปรับตัวลง 0.86% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) สหรัฐอายุ 10 ปีกลับปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ 1.81% จากแรงขายสินทรัพย์ฝั่งสหรัฐ
- ด่วน ! วอยซ์ ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
“ในภาพรวม ตลาดการเงินกลับมามีความกังวลกับสงครามการค้ามาก เนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์ กลับลำขึ้นกำแพงภาษีกับสินค้าเหล็กจากกลุ่มประเทศในลาตินอเมริกา ทำให้ตลาดกลับมาระวังตัวกับทิศทางการเจรจาการค้ากับจีนไปพร้อมกัน” ดร.จิติพลกล่าว
นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐก็ส่งสัญญาณอ่อนแอลงในภาคอุตสาหกรรม ล่าสุดดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (ISM Manufacturing PMI) ชะลอตัวลงมาที่ระดับ 48.1 ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ประเด็นดังกล่าวส่งผลให้เกิดแรงขายเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักราว 0.3%
ด้านฝั่งเงินบาทในวันที่ผ่านมาปรับตัวอ่อนค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีทั้งแรงกดดันจากความเห็นของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการเห็นใช้เงินดอลลาร์มากขึ้นเพื่อลดแรงกดดันบนเงินบาท การที่กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการขออนุมัติเพิ่มเพดานการลงทุนในต่างประเทศ พร้อมกับความกังวลเรื่องเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดแรงขายในตลาดหุ้น
“แม้ในระหว่างทางจะมีผู้ส่งออกทยอยขายดอลลาร์ แต่เชื่อว่าถ้าหุ้นไทยยังคงปรับตัวลงแรงต่อ ก็อาจเห้นเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องได้ในวันนี้” ดร.จิติพลกล่าว