แปลงร่างกองทุนศก.ฐานราก คลังสบช่องเติมเงิน “บัตรสวัสดิการ” เฟส 2

ขุนคลังเดินหน้าตั้งกองทุนถาวรดูแลคนจนแหล่งเงินเติมบัตรสวัสดิการระยะยาว ชี้กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากมีข้อจำกัดเติมงบฯไม่ได้ แจงเป็นสาเหตุสำคัญต้องแยก “ค่าน้ำ-ค่าไฟ” ออกไป ระบุถ้าใส่ไว้ต้องใช้งบฯ 5.7 หมื่นล้านบาทต่อปี

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กระทรวงการคลังจะแปลงกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากที่เป็นแหล่งเงินสำหรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากที่เป็นกองทุนภายใต้พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 ไปเป็นกองทุนที่มีกฎหมายจัดตั้งเป็นการเฉพาะ เพื่อให้รัฐบาลสามารถใส่งบประมาณเพิ่มเติมเข้าไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งบฯกลางปีที่จัดทำเพิ่มเติม หรือเงินโอนระหว่างปีงบประมาณ โดยการประชุมคณะกรรมการการบริหารกองทุนหมุนเวียน ครั้งต่อไปก็อาจมีการหารือกันถึงเรื่องนี้

“กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากที่ตั้งขึ้นมาก่อนหน้านี้ ตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับการจัดสรรงบประมาณปีงบประมาณ 2561 เป็นการเฉพาะ ทำให้ไม่สามารถรับการจัดสรรงบประมาณในปีถัดไปได้ เพราะไม่ใช่หน่วยรับงบประมาณ ดังนั้นแนวคิดเราคือ จะแปลงไปเป็นกองทุนนิติบุคคล ซึ่งจะสามารถรับงบประมาณเข้ามาได้ ไม่ว่าจะเป็นงบฯกลางปี หรือการโยกงบประมาณที่เขาตัดทิ้งระหว่างปีโอนมาให้กองทุนแทนได้ โดยจะต้องยกร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งขึ้นมา” นายอภิศักดิ์กล่าว

ทั้งนี้ การทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่จะแจกแก่ผู้มีสิทธิราว 11.4 ล้านคน ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย.นี้ และเริ่มใช้จ่ายผ่านบัตรได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นั้น ต้องดำเนินการภายใต้งบประมาณของกองทุนที่มีอยู่ 4.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่ได้รวมกรณีค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าเข้ามาในบัตร เพราะหากรวมเข้ามาก็จะต้องใช้เงินกว่า 5 หมื่นล้านบาท

นายอภิศักดิ์กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะทำให้คนไทยมีรายได้มากขึ้น โดยต้องทำให้คนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนหมดไป ที่ขณะนี้พบว่ามีอยู่ 5.3 ล้านคน ซึ่งการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ และออกบัตรสวัสดิการให้แก่ผู้ที่มีสิทธิถือเป็นจุดเริ่มต้น อย่างไรก็ดี ในระยะยาวหวังว่าจะสามารถต่อยอดจากข้อมูลที่ทำอยู่แล้วได้ โดยไม่ต้องเปิดลงทะเบียนใหม่อีก

รมว.คลังกล่าวด้วยว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเรื่องที่ทำให้คนที่รับเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะต้องมีการพัฒนาตัวเองด้วย เช่น ต้องไปอบรม ไปเรียนเพื่อพัฒนาตัวเอง โดยกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงานจะช่วยหางานให้ เช่น ร่วมมือกับโฮมโปรในการฝึกอาชีพด้านช่างซ่อม เป็นต้น

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังกล่าวว่า เดิมกระทรวงการคลังเสนอ ครม. ขอให้อนุมัติให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณสำหรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 5.7 หมื่นล้านบาท หรือจัดสรรเพิ่มเติมอีก 1.1 หมื่นล้านบาท จากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากที่มีเงินอยู่ 4.6 หมื่นล้านบาท แต่สุดท้ายก็มีการปรับรายละเอียดสวัสดิการใหม่ โดยแยกค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าออกไปอุดหนุนตามมาตรการเดิมไปก่อน เนื่องจากสำนักงบประมาณไม่สามารถจัดสรรงบประมาณเพิ่มให้ได้

นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การให้สิทธิประโยชน์ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนี้จะต้องมีการเพิ่มค่าน้ำประปา และค่าไฟฟ้า กลับเข้ามาอีกในเฟสที่ 2 โดยระยะนี้ต้องประเมินผลการให้สวัสดิการระยะแรกที่จัดสวัสดิการให้แก่ผู้ผ่านคุณสมบัติ 11.4 ล้านคนก่อน

นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า งบประมาณที่ใช้กับบัตรสวัสดิการที่จะใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2560 ไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2561 อยู่ที่ประมาณ 4.1 หมื่นล้านบาท เพราะตัดค่าน้ำประปากับค่าไฟฟ้าออกไป ซึ่งหากรวมเข้ามา วงเงินจะเกินเงินกองทุนที่มีอยู่

“การจัดตั้งกองทุนเป็นการถาวรจะดำเนินการภายในปีงบประมาณ 2561 นี้ เพราะยังมีเวลา เนื่องจากกองทุนเดิมมีเงินให้ใช้ได้ตลอดปีงบประมาณอยู่แล้ว

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติได้รับบัตรสวัสดิการอยู่กว่า 2.7 ล้านคนซึ่งจะมีการเปิดให้ตรวจสอบรายชื่อ และยื่นอุทธรณ์ได้ตั้งแต่วันที่ 15-29 ก.ย.นี้ ทั้งนี้ ผลการอุทธรณ์จะประกาศภายในวันที่ 24 ต.ค.ต่อไป หากมีรายที่อุทธรณ์ผ่านก็จะจัดทำบัตรสวัสดิการให้ทันที