ธปท.สั่งแบงก์งดจ่ายปันผลครึ่งแรกมูลค่ารวม 1.43 หมื่นล้าน

ตู้เอทีเอ็ม ATM ธนาคาร เศรษฐกิจ

‘เมย์แบงก์ กิมเอ็ง’ เผยผลกระทบนโยบาย ธปท.ออกคำสั่งแบงก์พาณิชย์งดปันผล-ซื้อคืนหุ้น กดดันราคา 5 หุ้นธนาคารที่มีปันผลระหว่างกาล “BAY-BBL-KBANK-KKP-SCB” ประเมินเม็ดเงินปันผลครึ่งแรกหายรวมกันทั้งสิ้น 1.43 หมื่นล้านบาท

นายธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์ นักกลยุทธ์เศรษฐศาสตร์มหภาค บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ผลกระทบจากนโยบายใหม่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกคำสั่งให้ธนาคารพาณิชย์งดปันผลและงดซื้อคืนหุ้นนั้น โดย ธปท.ออกคำสั่งขอให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งในไทยจัดทำแผนบริหารจัดการเงินกองทุนในระยะเวลา 1-3 ปี  พร้อมกับงดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานปี 2563 และห้ามซื้อหุ้นคืนหรือไถ่ถอนตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 หรือชั้นที่ 2 ก่อนครบกำหนด

การออกมาตรการเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์รักษาระดับเงินกองทุนให้เข้มแข็งและควบคุมให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างระมัดระวังมากขึ้น สะท้อนมุมของ ธปท.ที่ประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังแย่กว่าที่คาดไว้ บวกกับมีความกังวลต่อผลของมาตรการต่างๆ ที่มีออกมาเพื่อช่วยเหลือเยียวยาลูกหนี้ช่วงก่อนหน้านี้ อาจส่งผลกระทบต่อสถานะเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์

อย่างไรก็ตาม ผลจากมาตรการดังกล่าวจะส่งผลกดดันบรรยากาศ (sentiment) ตลาดหุ้นไทยในภาพรวม เนื่องจากการส่งสัญญาณของ ธปท.สะท้อนมุมมองที่เปลี่ยนไปในเชิงลบต่อธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภาวะเศรษฐกิจ บวกกับการเข้าแทรกแซงของผู้กำหนดนโยบายถือเป็นปัจจัยลบที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ

ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ฯ ประเมินว่ามาตรการดังกล่าวจะผลกระทบเชิงลบต่อธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะธนาคารที่มีการจ่ายปันผลระหว่างกาล ได้แก่ BAY BBL KBANK KKP SCB (ส่วน TCAP ที่ถือหุ้น TMBThanachat ที่ 20.4% หลังควบรวมระหว่าง TMB และ TBANK ไม่อยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท.) โดยคาดว่าปันผลระหว่างกาลที่จะหายไปรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 1.43 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลในปี 2563 สำหรับ SET Banking ลดลงประมาณ 1.15% และสำหรับ SET ลดลงเล็กน้อยประมาณ 0.1%

อีกทั้งยังอาจเกิดการเคลื่อนย้ายกลุ่มลงทุน (Sector Rotation) สู่หุ้นขนาดใหญ่/ปันผลสูงกลุ่มอื่นแทนดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารฯ ที่ปัจจุบัน (ณ วันที่ 19 มิ.ย.63) ปิดที่ 304.21 จุด ปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ 235.81 จุด ประมาณ 29% ถือเป็นจุดที่นักลงทุนบางกลุ่มมีกำไรซึ่งพบว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้ามา ในช่วงเวลาดังกล่าวมาจากนักลงทุนสถาบันฯ ซื้อสุทธิ 5.8 หมื่นล้านบาท และโดยส่วนใหญ่คือกองทุนรวมในประเทศที่โดยปกติจำป็นต้องปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับนโยบายการลงทุน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นปันผลเป็นกลุ่มที่มีโอกาสสูงที่จะสลับเข้าซื้อหุ้นปันผลสูง (High Yield Stock) ทดแทนเงินปันผลกลุ่มธนาคารที่หายไป โดยเงื่อนไขที่น่าจะถูกเข้าซื้อคือมีอัตราการจ่ายปันผลระหว่างกาลสูงเทียบเคียงกับระดับ 1.15% ของกลุ่มธนาคารฯ และแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังของปี 2563 ฟื้นตัวหรือดีต่อเนื่อง

ทั้งนี้ คำแนะนำในเชิงกลยุทธ์ ได้แก่

1.เลือกลงทุนสลับกลุ่ม: แนะนำลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ที่จ่ายปันผลระหว่างกาลสูง และมีแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังดี โดยเป้าหมายการสลับกลุ่มเข้าซื้อของนักลงทุนสถาบันฯ เลือก INTUCH SCC PTTGC และ CPF

2.กลุ่มธนาคาร: แนะนำเลี่ยงการลงทุนหุ้นธนาคาร จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในเชิงลบ บวกกับการเข้าแทรกแทรงของ ธปท.ที่จะลดทอนความน่าสนใจในมุมมองนักลงทุนต่างชาติเมื่อเทียบกับภูมิภาค