กรุงไทย เปิด 3 สูตร ผลเลือกตั้งสหรัฐ เอฟเฟ็กต์ต่อ “ตลาดเงิน-ตลาดทุน” ไทย

ธนาคารกรุงไทย

ธนาคารกรุงไทย เปิด 3 สูตร ผลเลือกตั้งสหรัฐ เอฟเฟ็กต์ต่อ “ตลาดเงิน-ตลาดทุน” ไทย

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 3 พ.ย.นี้ นอกจากตัวผู้นำแล้ว ยังต้องพิจารณาในส่วนของสภาคองเกรสด้วย จะเป็นพรรคเดโมแครต หรือพรรครีพับลิกัน เพราะจะมีผลต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายที่จะออกมาหลังจากนี้

โดยธนาคารกรุงไทย วิเคราะห์ผลการเลือกตั้งสหรัฐ ออกเป็น 3 กรณี คือ 1.โจ ไบเดน ชนะ และกวาดที่นั่งสมาชิกในสภาคองเกรสทั้งหมด กรณีนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น 60% และน่าจะมีผลดีต่อตลาดเงิน เนื่องจากจะมีเม็ดเงินและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น (On Top) อีก 7 ล้านล้านดอลลาร์ จากเดิมอยู่ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นมาตรการช่วยโควิด-19 ระยะสั้น และมาตรการฟื้นฟูระยะกลาง-ยาว

ขณะที่นโยบายการค้าโลกกลับมาได้ค่อนข้างดี ตลาดหุ้นดี แต่ไม่ดีทุกกลุ่ม เพราะยังมีจุดที่ต้องระวัง เนื่องจากโจ ไบเดน ยังมีความไม่ชอบจีนระดับหนึ่ง อาจจะเห็นเสียงรบกวนระหว่างทางได้ เช่น มีความขัดแย้งและกดดันทางด้านทหารได้ ทำให้มีผลต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดที่อาจจะโดนบีบอยู่

2.โจ ไบเดน ชนะ แต่สภาคองเกรสเป็นลูกผสมแบบปัจจุบัน มีความเป็นไปได้ประมาณ 30-40% ซึ่งกรณีนี้จะทำให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของโจ ไบเดน ไม่สามารถผ่านได้หรือโดนขัดขา แม้ว่าจะไม่กระทบเรื่องการค้าโลก-จีน แต่กระตุ้นเศรษฐกิจลำบาก ส่วนตลาดหุ้นไม่ดีมากทั้งโลก โดยตัวที่แน่สุด คือ หุ้นสหรัฐฯ และหุ้นจีน-เอเชียรอด ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังต้องระวังตัวจากการปฏิรูปภาษี

3.โดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง และสภาคองเกรสผสม ซึ่งเป็นกรณีที่แย่ที่สุด เพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านยาก และอาจเห็นเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจเพียง 1 ล้านล้านสหรัฐฯ ซึ่งไม่เพียงพอ ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวใช้เวลานาน โดยทรัมป์จะใช้นโยบายกีดกันทางการค้า ทำให้เกิดความขัดแย้งทางการค้าและการเมืองได้

อย่างไรก็ดี แม้ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาว่า โจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง แต่จะเกิดเหตุการณ์ทรัมป์ไม่ยอมรับผลการเลืกตั้ง ทำให้แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งวันที่ 3 พ.ย.นี้ แต่ยังไม่สามารถรู้ผลทางการได้ จะต้องใช้เวลาอีก 1 เดือนในการตรวจสอบผลการเลือกตั้ง ทำให้ระหว่างเดือนพ.ย.จะมีความผันผวนค่อนข้างสูง จึงต้องระวังตัวในการเลือกการลงทุนในตลาดหุ้น

“ไม่ว่าใครได้เป็นประธานาธิบดี ทั้งทรัมป์ หรือไบเดน จะเห็นตลาดรีแอคชั่นทั้งดีและแย่ ซึ่งขึ้นอยู่กับการผลักดันนโยบายไหนออกมาก่อนหลัง รวมถึงสภาคองเกรสจะเป็นตัวกำหนดด้วย แต่ท้ายที่สุดตัวกำหนดจะเป็นเรื่องของวัคซีน ทำให้หุ้นไม่ได้ดีในทุกกลุ่ม แต่จีนยังไปได้อยู่”

นายพูนกล่าวอีกว่า สำหรับผลต่อเศรษฐกิจไทย หากโจ ไบเดน ได้รับเลือกตั้งจะทำให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจดีขึ้น เพราะไม่มีเรื่องของการกีดกันทางการค้า และไทยเองส่งออกไปสหรัฐฯ ติด 1 ใน 10 ส่วนกรณีทรัมป์ได้การกระตุ้นเศรษฐกิจจะลำบาก เพราะยังมีสภาแบบผสม และมีปัจจัยกดดันทางด้านการค้า ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นต่ำลงไปถึง 1,100 จุดได้

ส่วนผลทางด้านค่าเงิน เงินดอลลาร์จะมีทิศทางอ่อนค่า เนื่องจากทั้งคู่มีการกู้เงินมหาศาล อยู่ที่ใครจะอ่อนค่ามากน้อยกว่ากัน โดยกรณีหากนายไบเดนชนะ มีแนวโน้มว่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่ามากกว่า เพราะมีการกู้ยืมที่ค่อนข้างสูง และไม่มีนโยบายกีดกันทางการค้า ทำให้ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) มีการค้าที่เติบโตโดดเด่น ทำให้ค่าเงินมีแนวโน้มแข็งค่าได้ ขณะที่ทรัมป์ จะมีความผันผวนสูง และคนหันไปถือสกุลเงินดอลลาร์ จะเห็นดอลลาร์แข็งค่าได้บ้าง

“กรณีที่ทรัมป์ไม่ยอมรับผลเลือกตั้ง จะยิ่งทำให้ดอลลาร์แข็งค่า ประกอบกับไทยมีเรื่องการเมืองในประเทศ อาจเป็นเหตุให้คนเทขายบาท ซึ่งกดดันบาทอ่อนค่าได้” นายพูนกล่าว