“เคทีซี” ฟื้นตัวQ4 แต่ซึมพิษโควิดกดกำไรทั้งปีหด 3.48% เหลือ 5.3 พันล้าน

“เคทีซี” เผยกำไรไตรมาส 4/63 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.15% มาอยู่ที่ 1,321 ล้านบาท แต่ทั้งปียังทรุดพิษโควิด หดตัว 3.48% มาอยู่ที่ 5,332 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตลดลง 7.7% เหลือมูลค่า 197,087 ล้านบาท “ระเฑียร” เผยปี’64 บุก 3 ธุรกิจหลัก พร้อมขานรับแบงก์ชาติเตรียมขยายเวลามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ หลังสิ้นปี’63 ปรับโครงสร้างหนี้คงเหลือ 813 ล้านบาท จำนวน 10,812 บัญชี

19 ม.ค.2564 นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC เปิดเผยว่า กำไรสุทธิงวดไตรมาส 4/63 อยู่ที่ 1,321 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.15% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่กำไรสุทธิทั้งปี 63 ลดลง 3.48% มาอยู่ที่ 5,332 ล้านบาท(ภายใต้มาตรฐาน TFRS9) จากปีที่แล้วทำได้ 5,524 ล้านบาท

โดยงวดไตรมาส 4/63 บริษัทมีรายได้รวม 5,566 ล้านบาท ลดลง 6.09% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ 5,927 ล้านบาท โดยทั้งปี 63 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 22,056 ล้านบาท ลดลง 2.5%

มาจากรายได้ดอกเบี้ยลูกหนี้บัตรเครดิตและลูกหนี้สินเชื่อบุคคลที่เพิ่มขึ้น 5.7% และ 2.8% (ตามลำดับ) แต่เป็นอัตราเพิ่มที่ชะลอตัวลง เพราะผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และการลดเพดานอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียม (ไม่รวมค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน) มีอัตราลดลง 11.0% จากรายได้ค่าธรรมเนียม Interchange Fee รายได้ค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินสด และรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจร้านค้า (Acquiring Business) ลดลง

ในขณะที่ค่าใช้จ่ายรวม 15,400 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายการบริหารงาน 7,260 ล้านบาท ลดลง 6.0% จากรายการทางการค้าและกิจกรรมการตลาดที่ลดลง ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 6,605 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% แบ่งเป็นหนี้สูญ 4,920 ล้านบาทและหนี้สงสัยจะสูญ 1,685 ล้านบาท รวมไปถึงต้นทุนทางการเงิน 1,534 ล้านบาท

โดยมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้สุทธิ (Operating Cost to Income Ratio) เท่ากับ 25.4% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 25.3% ในขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม (Cost to Income Ratio) เท่ากับ 32.9% ลดลงจาก 34.1% เนื่องจากลดกิจกรรมการตลาดด้านการจัดหาสมาชิกบัตรใหม่ และหันไปเน้นส่งเสริมการตลาดใช้จ่ายผ่านบัตรออนไลน์มากขึ้น

ด้านเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวม 90,149 ล้านบาท เติบโต 4.3% หนี้เสียที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ต่อเงินให้สินเชื่อรวม 1.8% จำนวนฐานสมาชิกรวม 3.4 ล้านบัญชี ใกล้เคียงปีก่อน แบ่งเป็นธุรกิจบัตรเครดิต 2,575,684 บัตร เพิ่มขึ้น 2.6% สินเชื่อลูกหนี้บัตรเครดิตรวม 60,235 ล้านบาท อัตราเติบโตของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตลดลง 7.7% หรือมีมูลค่ารวม 197,087 ล้านบาท

เอ็นพีแอลต่อเงินให้สินเชื่อลูกหนี้บัตรเครดิต 1.3% ธุรกิจสินเชื่อบุคคล (รวมสินเชื่อธนวัฏและสินเชื่อเจ้าของกิจการ) มีจำนวนทั้งสิ้น 814,329 บัญชี ลดลง 8.3% จากการปิดบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหว ยอดลูกหนี้สินเชื่อบุคคลรวม 29,915 ล้านบาท เอ็นพีแอลต่อเงินให้สินเชื่อลูกหนี้สินเชื่อบุคคล 2.7%

“จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 63 ได้ส่งผลกระทบรุนแรงกับระบบเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด ต่อเมื่อเศรษฐกิจไทยเริ่มมีการฟื้นตัวต่อเนื่องจากแรงกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐตั้งแต่ปลายไตรมาส 2 เป็นต้นมา ทำให้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเคทีซีเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้น รวมทั้งพอร์ตลูกหนี้ของเคทีซีสามารถขยายตัวได้เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ภายใต้เกณฑ์ใหม่ของแบงก์ชาติ ที่ประกาศปรับลดเพดานการคิดอัตราดอกเบี้ยในธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล ได้ส่งผลกระทบกับรายได้ของบริษัทเต็มไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทจึงปรับกลยุทธ์โดยให้ความสำคัญกับการคัดกรองลูกค้ามากขึ้น เพื่อให้สามารถดูแลคุณภาพของสินทรัพย์ได้ดี รวมทั้งสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ที่สอดรับกับพฤติกรรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

อีกทั้งปรับกระบวนการทำงานในองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และบริหารต้นทุนทางการเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงใช้มาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงของลูกหนี้ให้เหมาะสม และการตัดหนี้สูญเพื่อให้พอร์ตลูกหนี้สะท้อนภาพความเป็นจริง โดยมีรายได้หนี้สูญได้รับคืนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ” นายระเฑียรกล่าว

นอกจากนี้บริษัทได้ช่วยเหลือด้านสินเชื่อสำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 ทั้งการปรับลดเพดานดอกเบี้ยและเพิ่มวงเงินให้กับลูกหนี้บัตรเครดิตและลูกหนี้สินเชื่อบุคคล การเปลี่ยนสินเชื่อเป็นระยะยาว เลื่อนการชำระค่างวดหรือเงินต้น การลดค่างวด เป็นต้น

โดยข้อมูลสิ้นเดือน ธ.ค.63 มีกลุ่มลูกหนี้สมัครเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างกับเคทีซีมียอดหนี้คงเหลือ 813 ล้านบาท จำนวน 10,812 บัญชี ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2563 แบงก์ชาติได้ประกาศขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ซึ่งบริษัทได้ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวต่อไป

นายระเฑียรกล่าวต่อว่า สำหรับแผนในปี 2564 ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาด Covid-19 ที่ยังส่งผลต่อเนื่อง และเกิดการระบาดระลอกใหม่ในประเทศไทย บริษัทจะปรับแผนธุรกิจเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในพอร์ตลูกหนี้คุณภาพทั้ง 3 ธุรกิจหลัก โดยมุ่งรักษาพอร์ตลูกหนี้ให้มีคุณภาพดีและผูกพันกับบริษัท ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งแบ่งเบาภาระเคียงข้างสมาชิกทุกกลุ่ม

โดยธุรกิจบัตรเครดิต จะร่วมมือกับพันธมิตรคู่ค้าอย่างใกล้ชิด เน้นส่งเสริมการตลาดที่เป็นออนไลน์มากขึ้นในทุกหมวดการใช้จ่ายซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อตอบรับกับความจำเป็นทุกความต้องการของสมาชิก
ธุรกิจสินเชื่อบุคคล จะให้ความสำคัญกับการตอกย้ำทุกฟังก์ชันการใช้งานของบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ที่เพิ่มความสะดวกให้กับสมาชิกผู้ถือบัตรทั้งรูด โอน กด ผ่อนในบัตรเดียว

ธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ “เคทีซี พี่เบิ้ม” เคทีซีจะมุ่งขยายตลาดในปีนี้เป็นหลัก โดยตั้งเป้าหมายเติบโตที่ 1,000 ล้านบาท เป็นฐานสนับสนุนการเติบโตในระยะต่อไป สำหรับแผนโครงการที่เกี่ยวข้องกับระบบการชำระเงิน “Payment System” อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลและวิธีการดำเนินการ ซึ่งบริษัทเชื่อว่าจะเป็นธุรกิจใหม่ที่มาเสริมธุรกิจหลัก และสร้างโอกาสให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงในระยะยาว