ซีไอเอ็มบี ไทย คาด กนง.ลดเงินนำส่ง FIDF 0.23% รอบประชุม 3 ก.พ.นี้

เงิน

ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย คาด กนง.ลดดอกเบี้ย FIDF จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.23% ลงทั้งหมด หวังช่วยลดภาระรายจ่ายลูกหนี้ พร้อมเพิ่มแรงจูงใจให้คนลงทุนหรือใช้จ่ายมากขึ้น ระบุ ธปท.จ่อปรับประมาณการจีดีพีจาก 3.2% ตามปัจจัยเสี่ยงเพิ่ม พร้อมลดดอกเบี้ยอาร์พี-ทำ QE เร่งเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็ว

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัยธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญวิกฤตอีกครั้งจากการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 มาตรการรักษาระยะห่างที่เข้มงวดมากขึ้นมีผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ส่งผลให้คนระมัดระวังการใช้จ่าย รายได้ครัวเรือนลดลง คนว่างงานมากขึ้น กำลังซื้อหดหาย เศรษฐกิจไทยเสี่ยงหดตัวเทียบไตรมาสก่อนหน้าและอาจมีผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี

แม้นักเศรษฐศาสตร์จะมองว่าการหดตัวทางเศรษฐกิจจากการระบาดรอบนี้อาจกระทบเศรษฐกิจเพียงชั่วคราว หรือเพียงช่วงไตรมาสแรกปีนี้เท่านั้น เพราะเชื่อว่าเราจะสามารถควบคุมการระบาดได้ดีขึ้นและจะสามารถเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ในช่วงปลายเดือนมีนาคม ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเวลาการระบาดรอบก่อน แต่ในมุมของผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจคงไม่มีใครเฝ้ารอให้ทุกอย่างกลับมาตามธรรมชาติได้ จึงต้องมีมาตรการกระตุ้นทั้งทางการคลังและการเงิน กระทรวงการคลังได้ออกมาตรการเราชนะ หรือการโอนเงินให้ผู้ได้รับผลกระทบเป็นเงิน 3,500 บาทเป็นเวลา 2 เดือน รวมทั้งมีมาตรการคนละครึ่ง หรือการลดค่าครองชีพอื่น ๆ เพิ่มเติม

ดร.อมรเทพ จาวะลา

ทั้งนี้ มองว่ามาตรการทางการคลังรอบนี้ใช้เงินไม่มากเท่ารอบก่อน อาจด้วยรัฐบาลไม่ได้ประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศ แต่ความรุนแรงทางเศรษฐกิจมีไม่น้อย โดยเฉพาะกลุ่มอาชีพอิสระที่อาศัยรายได้จากการขายสินค้าและบริการให้คนที่เดินทางมาทำงานหรือท่องเที่ยว หากคนเดินทางน้อยลง อยู่บ้านมากขึ้น รายได้คนกลุ่มนี้ก็ลดลงตาม และอาจเกิดการเลิกจ้าง ลดชั่วโมงทำงาน กำลังซื้อของคนก็ลดลงเป็นทอด ๆ เงินโอนอาจเป็นการประคองให้มีค่าใช้จ่ายจำเป็นในการประทังชีวิตให้ผ่านช่วงไตรมาสแรกไปให้ได้ แต่อาจไม่ใช่มาตรการเดียวที่จะออกมา โดยเฉพาะหากครัวเรือนและธุรกิจมีภาระหนี้สินที่รุมเร้า

ที่ผ่านมาได้มีมาตรการช่วยเหลือพักชำระหนี้ ลดภาระการใช้หนี้ เช่น ยืดเวลาชำระ ลดเงินต้นที่ต้องส่งคืน แต่สิ่งที่มองต่อไปคือการเติมสภาพคล่องให้คนมีรายได้น้อย มาตรการอัดฉีดซอฟต์โลนหรือการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่ม SMEs ทำได้น้อยมาก ขัดแย้งกับสภาพคล่องในระบบมีสูงมากจากเงินออมที่ล้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่และครัวเรือนที่มีรายได้ปานกลาง-สูงยังลังเลในการใช้จ่ายและการลงทุน แล้วเราจะคาดหวังอะไรได้บ้างจากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบที่จะถึงนี้

อ่านใจผู้ว่า ธปท. ลดดอกเบี้ย FIDF รอบนี้

ข้อจำกัดของนโยบายการเงินคือสภาพคล่องที่ล้นแต่ไปไม่ถึงกลุ่มเป้าหมาย การแก้ไขอาจไม่ใช่การลดดอกเบี้ยที่เป็นลักษณะหว่านแหช่วยทุกคน แต่น่าจะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะจุด เช่น การหยุดภาระการจ่ายหนี้ หรือ การอัดฉีดเงินกู้ให้ธุรกิจและครัวเรือนเพื่อต่อลมหายใจช่วงขาดรายได้ แต่สิ่งสำคัญอีกประการคือการสื่อสาร

โดยเฉพาะในช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำลากยาว ทางธนาคารกลางจะเข้ามาสร้างความคาดหวังของคนได้อย่างไรว่าดอกเบี้ยจะต่ำเช่นนี้อีกนานแค่ไหน และจะรับมือกับผลลบทางเศรษฐกิจจากดอกเบี้ยต่ำได้อย่างไร เพราะแม้ดอกเบี้ยที่ต่ำจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้คนลงทุนและบริโภค แต่ดอกเบี้ยต่ำลากยาวก็มีผลให้คนกังวลว่าจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด คนจะหันไปลดการใช้จ่าย หรือระมัดระวังการลงทุน หันกลับไปออมมากขึ้นไปอีก

ถ้าให้ผมอ่านใจผู้ว่าฯ ผมคิดว่าท่านคงอยากแก้ปัญหาเฉพาะจุดมากกว่าหว่านแห หรือคลายเกณฑ์การปล่อยซอฟต์โลน การให้ธนาคารพาณิชย์ปรับโครงสร้างหนี้ ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ และอาจสื่อสารเพิ่มเติมว่าดอกเบี้ยจะยังต่ำลากยาว แต่ผมก็เชื่อว่าต่อให้ทำแบบนี้ ก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบได้อย่างรวดเร็วเพียงพอ รวมทั้งหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อที่ยังคงไม่สามารถทำให้ SME ได้เงินกู้ไปประคองธุรกิจได้เต็มที่

เลยอยากอ่านใจว่า เครื่องมือด้านดอกเบี้ยก็ยังจำเป็นที่จะต้องหยิบมาใช้ แต่รอบวันที่ 3 ก.พ.นี้ ทาง กนง.อาจเลือกลดดอกเบี้ยที่นำส่งกองทุนฟื้นฟู หรือ FIDF ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 0.23% ลงทั้งหมด ซึ่งอย่างน้อยก็จะช่วยลดภาระรายจ่ายลูกหนี้ พร้อม ๆ กับเพิ่มแรงจูงใจให้คนลงทุนหรือใช้จ่ายมากขึ้น แต่ส่วนสำคัญในการประชุมรอบนี้น่าจะอยู่ที่การสื่อสารว่า ทาง กนง.จะฉายภาพสภาพคล่องที่ล้นในระบบตลาดการเงินแต่สภาพคล่องนี้ไม่ไหลไปสู่คนที่ต้องการสินเชื่อ เช่น กลุ่มรายได้น้อย และ SME ได้อย่างไร

รอลุ้นลดดอกเบี้ยเดือนมีนาคม

ทำไมรอถึง 24 มีนาคม ผมมองว่านโยบายการเงินมีลักษณะเดินตามตัวเลขเศรษฐกิจ หรือ data dependent ไม่ใช่ตัวเลขในอดีต หรือต้องรอ GDP ไตรมาสสี่ปีก่อนที่ทางสภาพัฒน์จะรายงานในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ แต่น่าจะพิจารณาตัวเลขในอนาคตหรือการคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ที่ทาง ธปท.จะรายงานในช่วงการประชุมรอบเดือนมีนาคม

ที่ปัจจุบันทาง ธปท.คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 3.2% แต่เราเชื่อว่าทาง ธปท.น่าจะปรับลดการคาดการณ์ลง ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น จนทาง กนง.น่าจะพิจารณาลดดอกเบี้ยลง 0.25% พร้อม ๆ กับการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติม หรือ ทำ QE คล้าย ๆ ซื้อพันธบัตรรัฐบาล เพิ่มวงเงินในระบบเพื่อลดความเสี่ยงด้านเครดิต จูงใจให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติม อีกทั้งผลทางอ้อมจากปริมาณเงินที่มากขึ้น และดอกเบี้ยที่ลดต่ำลงจะช่วยลดแรงจูงใจในการเข้ามาซื้อพันธบัตรจากต่างชาติ เงินบาทน่าจะไม่แข็งค่าเร็วอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งช่วยสนับสนุนผู้ส่งออกและให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

โดยสรุป แม้เราเชื่อว่าการลดดอกเบี้ยไม่ใช่ทางออกที่ดีเท่ากับการแก้ปัญหาเฉพาะจุด เช่น ปล่อยซอฟต์โลนและปรับโครงสร้างหนี้ แต่การลดดอกเบี้ยนโยบาย และ FIDF พร้อม ๆ กับการทำ QE จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เราไม่อยากเห็นเศรษฐกิจไทยรั้งท้ายในอาเซียนในปีนี้