บลจ.ไทยพาณิชย์ แนะจัดพอร์ตลดเสี่ยง ชูกองทุน “อสังหาฯ-รีทส์–อินฟราฯ”

บลจ.ไทยพาณิชย์ แนะจัดพอร์ตกระจายการลงทุน-ลดเสี่ยง ชูกองทุน “อสังหาฯ-รีทส์–อินฟราฯ” เสนอ SCBPIN กองทุนด้านอสังหาฯ-โครงสร้าง ด้วยสัดส่วนการลงทุนในสิงคโปร์ถึง 60% จากแนวโน้มฟื้นตัวหลังเปิดเมือง เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะกลาง-ยาว

วันที่ 29 กันยายน 2564 นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกที่ส่งผลให้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกยังคงมีการขยายตัวได้ดี ประกอบกับสถานการณ์การเงินของโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกปัจจุบันมีความแข็งแกร่งอย่างมาก เนื่องจากมีระดับหนี้สินค่อนข้างต่ำ รวมถึงภาวะดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่ยังอยู่ในระดับต่ำไปอีกระยะหนึ่ง ส่งผลให้สินทรัพย์กลุ่มนี้มีความน่าสนใจในการลงทุน ด้วยอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาว

นันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส

ทั้งนี้ บริษัทได้แนะนำกองทุนที่เป็นทางเลือกการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้ระหว่างทางจากการลงทุน รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากสัญญาค่าเช่าจะปรับตัวตามอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงนักลงทุนเพื่อต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งนักลงทุนสามารถซื้อได้ในทุกช่องทางรวมถึงผู้สนับสนุนการขายทุกราย ได้แก่

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ เฟล็กซิเบิ้ล (SCB Property and Infrastructure Flexible Fund : SCBPIN) เน้นลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และโครงสร้างพื้นฐานในไทยและต่างประเทศซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความได้เปรียบด้านกระแสเงินสดรับคาดการณ์ที่สม่ำเสมอจากรายได้ค่าเช่าตามสัญญา เช่น อาคารสำนักงาน, ห้างสรรพสินค้า และ คลังสินค้า เป็นต้น

โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนในตลาดไทยประมาณ 35% สิงคโปร์ประมาณ 60% และเงินฝากหรือสินทรัพย์อื่นอีกประมาณ 5% (ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2564) โดยกระจายความเสี่ยงในหลากหลายสินทรัพย์เนื่องจากมีความสัมพันธ์ต่ำกับสินทรัพย์การลงทุนอื่น

นอกจากนี้ กองทุน SCBPINA และ SCBPIND ยังจัดเป็นกองทุน 5 ดาว ประเภท Thailand Fund Property-Indirect Flexible ของมอร์นิ่งสตาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 2564) เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว ซึ่งคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไป โดยบริษัท ได้เปิดให้นักลงทุนทั่วไปได้เลือกลงทุนถึง 4 Share Class ได้แก่ (1) SCBPINA-ชนิดสะสมมูลค่า (2) SCBPIND-ชนิดจ่ายปันผล (3) SCBPINP-ชนิดผู้ลงทุนกลุ่ม/บุคคล และ (4) SCBPIN-SSF-ชนิดเพื่อการออม

สำหรับการลงทุนเบื้องต้นจะเน้นการลงทุนในสิงคโปร์มากกว่าไทย จากการเปิดประเทศที่มีแนวโน้มเร็วกว่า และจากการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมเกินกว่า 70% ของประชากร ประกอบกับสินทรัพย์ของ REIT สิงคโปร์มีคุณภาพค่อนข้างสูงในหลายด้านทั้งการกระจายความเสี่ยง สภาพคล่อง การซื้อสินทรัพย์ใหม่ และอัตราการเติบโต โดยกองทุนจะเน้นคัดเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง และได้รับผลกระทบน้อยจากความผันผวนของเศรษฐกิจ

จากสภาวะเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลกยังคงเอื้อต่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ถึงแม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกอาจจะชะลอตัวลงในกลุ่มประเทศที่มีการกระจายวัคซีนได้ดีอย่างสหรัฐ หรือจีน แต่ก็ยังคงขยายตัวได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนการระบาดของ COVID-19 นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกยังมีสัดส่วนของ REIT ในกลุ่ม New Economy เช่น Cell Tower, Data Center, Logistic สูงกว่า 50% ทำให้มีอัตราการเติบโตของกำไรในระดับค่อนข้างสูง ส่งผลให้ยังคงมีความน่าสนใจลงทุนทั้งในแง่การกระจายความเสี่ยง และการเติบโตในอนาคตสำหรับการลงทุนในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกคาดว่าอาจจะมีการปรับขึ้นไม่สูงมาก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาถือว่าเป็นตลาดที่มีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และราคาปรับขึ้นมาแรงในช่วงก่อนหน้า

“ทั้งนี้สำหรับการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาใน REIT ไทยและสิงคโปร์ นับว่าได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อโควิด 19 กลายพันธ์เดลต้าค่อนข้างมาก ส่งผลให้ผลประกอบการยังคงถูกกดดันจากมาตรการล็อกดาวน์ อย่างไรก็ตาม การทยอยกลับมาเปิดประเทศในช่วงไตรมาส 4 ถึงปีหน้า จะสามารถสร้างโอกาสการลงทุนใน REIT ไทยและสิงคโปร์ได้ โดยคาดว่าผลตอบแทนจะสูงกว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกจากราคาที่ปรับขึ้นน้อยกว่าในช่วงที่ผ่านมา” นางนันท์มนัสกล่าว