เช็กปัจจัย “บวก-ลบ” เตรียมตัวลงทุนตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า

บล.ฟิลลิป คาดดัชนี SET Index สัปดาห์หน้าแกว่งตัวอิงทางขึ้นเล็กน้อย 1,600-1,660 จุด จากความหวังการเปิดเมือง 8 พ.ย. และใกล้เข้าสู่ช่วงการจับจ่ายปลายปี-พัฒนาการยาเม็ดต้าน COVID ระวังขยายเพดานหนี้สหรัฐ กดดันบอนด์ยีลด์ 10 ปี จะปรับตัวขึ้นต่อกดดันหุ้นเทคโนโลยี มำให้บรรยากาศลงทนตลาดหุ้น DM ส่งผลให้ลงทุนตลาดหุ้นภูมิภาคอัพไซต์จำกัด

วันที่ 10 ตุลาคม 2564 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า (11-15 ต.ค.64) ว่า คาดดัชนี SET Index แกว่งตัวอิงทางขึ้นเล็กน้อยระหว่าง 1,600-1,660 จุด จากปัจจัยภายในยังมีความหวังเรื่องของการเปิดเมืองและใกล้เข้าสู่ช่วงการจับจ่ายปลายปี กลยุทธ์การลงทุนเน้นกลุ่มเปิดเมืองที่ราคา Laggard และหุ้นที่ได้ sentiment เชิงบวกจากภาวะเงินเฟ้อปรับตัวขึ้น เช่น กล่มธนาคารและกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ 

สำหรับปัจจัยภายในมีหวังในการเปิดเมือง หลังจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันทรงตัวอยู่ระดับหนึ่งหมื่นรายบวกลบ และอัตราการฉีดวัคซีนเข็มสองใน กทม. ยังทำได้ดี ด้วยค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 7 วัน 36,688 โดสต่อวัน กทม.จะสามารถกลับมาเปิดเมืองได้ราว 8 พ.ย.นี้ ส่วนด้านปัจจัยภายนอกมี

พัฒนาการเชิงบวกเรื่องของยาเม็ดต้าน COVID-19 ที่เริ่มเห็นความเป็นไปได้มากขึ้น จากผลการทดลองยาของหลายบริษัทที่ทยอยเปิดเผยออกมา 

รวมถึงการที่วุฒิสภาสหรัฐผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นคลายกังวลกรณีที่สหรัฐอาจผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากที่ร่างกฎหมายนี้จะทำให้สหรัฐมีสภาพคล่องพอใช้จ่ายได้ถึง 3 ธ.ค. ด้วยการขยายเพดานหนี้เพิ่มขึ้น 4.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ 

อย่างไรก็ดี โดยมากสหรัฐมักก่อหนี้โดยพึ่งพิงการออกพันธบัตร ดังนั้นนักลงทนจึงอาจขายพันธบัตรสหรัฐตัวเก่า เพื่อรอเข้าซื้อพันธบัตรตัวใหม่ที่น่าจะมีอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า ในระยะสั้นผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี จึงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นต่อ ซึ่งอาจกดดันหุ้นเทคโนโลยีและบรรยากาศการลงทนในตลาดหุ้นกลุ่ม Developed Market ส่งผลให้ Sentiment ลงทุนของภูมิภาคมี Upside จำกัด 

ระวังความกังวลเงินเฟ้ออาจกลับมาปกคลุมตลาด โดยมีเหตุผลหลักๆ ดังนี้ 1.ด้วยความสามารถในการจับจ่ายของสหรัฐที่มากขึ้นจากการขยายเพดานหนี้ จะเป็นตัวหนุนเงินเฟ้อให้ปรับตัวขึ้นในระยะกลาง จากราคาต้นทุนสินค้าที่ปรับขึ้นตามอุปสงค์ และ 2.การพุ่งขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ จากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวเร็ว ในขณะที่อุปท่านยังฟื้นตัวตามไม่ทัน ส่งผลให้เกิดผลกระทบของภาวะขาดแคลนพลังงานทั่วโลก 

อาทิ โรงงานหลายแห่งในจีนต้องหยุดการผลิตหลังรัฐบาลจีนสั่งเพิ่มราคาพลังงานไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรม และกลุ่มประเทศยุโรปต้องเสนอให้จัดตั้งกองทุนเยียวยาผู้บริโภคและธุรกิจขนาดเล็ก ที่ได้รับผลกระทบจากราคาต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวขึ้น หลังต้นทุนพลังงานไฟฟ้าในสเปนปรับตัวขึ้นราว 26% ภายในวันเดียวในวันพฤหัสที่ผ่านมา และราคาซื้อขายล่วงหน้าก๊าซธรรมชาติของอังกฤษก็พุ่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน 

แนะนำหุ้นเด่น HMPRO ไตรมาส 3 กำไรอาจไม่สวยนัก แต่อัพไซต์ยังมีมากกว่าดาวน์ไซต์จากการเปิดเมืองในช่วงไตรมาส 4 และคาดได้อานิสงส์เชิงบวกจากการจับจ่ายปลายปีและการซ่อมแซมบ้าน 

และ JWD คาดได้ประโยชน์จากภาคส่งออกที่ขยายตัว และยังมีแผนขยายธุรกิจที่หลากหลาย หนุนมูลค่าหุ้นในอนาคต เช่น ธุรกิจคลังสินค้า Fulfillment