ยกฟ้องคดีชายชุดดำภาค 2 ชี้พยานโจทก์เบิกความไม่น่าเชื่อถือ อ้างยิงใส่ทหารปี 53

คดีชายชุดดำ
ภาพเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553

ศาลอาญายกฟ้อง คดีชายชุดดำภาค 2 ชี้พยานโจทก์เบิกความขัดกันไม่น่าเชื่อถือ ทนายวิญญัติเล็งยื่น อสส.ขอพิจารณาถอนฟ้อง เพราะเหตุการณ์เดียว จำเลยถูกฟ้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า

วันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ห้องพิจารณา 910 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษา คดีชายชุดดำภาค 2 หมายเลขดำ อ.212/2564 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายกิตติศักด์ หรือ อ้วน สุ่มศรี และนายปรีชา อยู่เย็น ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน, พ.ร.บ.อาวุธสงครามฯ

การพิจารณาคดีครั้งนี้เบิกตัวจำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำ ส่วนจำเลยที่ 2 เดินทางมาศาลพร้อมทนายความ

คำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 เวลากลางคืน จำเลยกับพวกได้ใช้อาวุธปืนและเครื่องยิงลูกระเบิดยิงไปที่ถนนข้าวสาร แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร หลายนัดหลายลูก ใส่เจ้าพนักงานทหารและเจ้าหน้าที่อื่นซึ่งตั้งแนวโล่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยป้องกันเหตุร้าย โดยเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้ พ.อ.ชิษณุพงศ์ รอดศิริ ได้รับอันตรายทุพพลภาพ ส่วนเจ้าหน้าที่อีก 24 นายบาดเจ็บ

เหตุการณ์ 10 เมษา 53
ภาพเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553

ศาลพิเคราะห์เเล้วเห็นว่า พยานซึ่งเป็นผู้บาดเจ็บถูกยิง เห็นจำเลยครั้งแรกในทีวีตามที่ปรากฏเป็นข่าว ก็เบิกความว่าไม่รู้ว่ากระสุนมาจากทิศทางใด และไม่รู้จักจำเลยมาก่อน ส่วนพยานปากอื่นเบิกความข้อเท็จจริง คล้ายกับพยานโจทก์ข้างต้น ว่าไม่มีผู้ใดพบว่าจำเลยทั้งสองยิงใส่เจ้าหน้าที่ เเม้จะมีพยานบางปากอ้างว่าเห็นจำเลยขับรถตู้ฝ่าวงเข้ามาพร้อมตะโกนด่าพยานเเละมีการเผยว่าเห็นอาวุธสงครามที่อยู่พื้นรถตู้

เเต่พยานปากดังกล่าวเคยไปเบิกความในคดีที่ศาลอาญาใต้ ซี่งเป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน พยานเคยเบิกความว่าจำไม่ได้ คำเบิกความจึงขัดกันกับที่เบิกความในศาลนี้ เเละไม่มีเหตุผลว่าจำเลยจะขนอาวุธเข้ามาเเละเปิดเผยใบหน้ากับเจ้าหน้าที่ พยานปากนี้มีน้ำหนักน้อย ขัดกับเหตุผล จากข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันดังกล่าวเกิดเหตุหลายเหตุการณ์ มีเสียงกระสุนปืนหลายนัด เเต่ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดเหตุการณ์ใดบ้าง

การที่พยานเบิกความว่าจำเลยเคยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน ก็มีน้ำหนักน้อย เเละได้ความว่าจำเลยให้การรับสารภาพเพราะโดนซ้อมทรมาน พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ กล่าวว่า ศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ไม่น่าเชื่อถือและไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสอง ไปยิงทหารในวันดังกล่าว เนื่องจากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นหลายจุด และมีเสียงยิงปืนดังต่อเนื่องหลายจุด ซึ่งพยานบุคคลของโจทก์ เบิกความขัดกับพยานในคดีอื่น

คำเบิกความพยานโจทก์นั้นจึงไม่น่าเชื่อถือ และนายธำรงค์ หลักแดน ซึ่งเป็นทนายความที่ได้ทำคดีนี้ ก็ได้นำพยานหลักฐานเข้าสู้หักล้าง ทำให้ศาลเห็นว่าคดีนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่แรก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้จำเลยและลูกสาวได้รับความเดือดร้อน

นายวิญญัติกล่าวต่อว่า จำเลยควรได้รับการปล่อยตัว เพราะศาลยกฟ้องโดยที่ไม่ได้ยกเพราะยกประโยชน์แห่งความสงสัย แต่ศาลยกฟ้องเพราะฟังพยานหลักฐานโจทก์ไม่ได้เลย จึงควรจะปล่อยตัว แต่จำเลยที่ 1 ก็ยังคงถูกขังคดีอื่น ซึ่งเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับจำเลยมา 4-5 คดี และคดีใหม่นี้จะสอบคำให้การวันที่ 22 พ.ย. 2565 นี้

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมบ้านเราถูกข้ามขั้นตอนและไม่ได้ถูกตรวจสอบอย่างแท้จริง ทำให้ครอบครัวจำเลยเดือดร้อน เรากำลังปรึกษากันในทีมว่าจะไปยื่นคำร้องขอความเป็นธรรม ขอให้อัยการสูงสุดพิจารณาถอนฟ้องคดี ซึ่งคดีนี้สำนักงานอัยการคดีพิเศษเป็นผู้รับผิดชอบสำนวน

“อยากจะถามว่าใช้ดุลยพินิจอะไรในการสั่งฟ้อง พยานหลักฐานได้มีการกลั่นกรองดีแล้วหรือไม่ ถ้าทำโดยหละหลวมเราก็จะตั้งเรื่องในการยื่นฟ้องกลับต่อพนักงานอัยการ คดีนี้อัยการอาจถูกฟ้องได้ในอนาคต โดยหลังจากนี้เราจะยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวในนัดสอบคำให้การครั้งต่อไป” นายวิญญัติกล่าว และว่า

“ถ้าอัยการสูงสุดทำได้ เราอยากขอให้ท่านถอนฟ้อง หรือให้ความเป็นธรรมในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง แม้คดีจะฟ้องศาลแล้ว แต่อำนาจของท่านสามารถนำกระบวนการเหล่านี้มาพิจารณาใหม่ได้อีก แต่ตอนนี้เรายังไม่อาจก้าวล่วงว่าอัยการสูงสุดควรทำอย่างไร แต่ท่านใช้ดุลยพินิจของท่านได้ จำเลยที่ 1 ติดในเรือนจำตั้งเเต่ปี 2557 แต่กลับถูกนำเหตุการณ์เดียวกันมาฟ้องซ้ำเเล้วซ้ำเล่า”

ด้าน น.ส.จุฑามาศ สุ่มศรี ลูกสาวของจำเลยที่ 1 กล่าวว่า ขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรมกับพ่อ รอเวลานี้มานานแล้ว ที่ผ่านมาพอตัดสินคดีก็มีคดีใหม่เข้ามา ตอนนี้ยังเหลืออีก 1 คดีเป็นคดีใหม่ที่พ่อยังต้องถูกจองจำอยู่

ก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษายกฟ้องคดีหมายเลขดำ อ.4022/2557 หรือคดีชายชุดดำ สำนวนเเรก เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2564 ซึ่งเป็นคดีที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกิตติศักดิ์ หรือ อ้วน สุ่มศรี ชาวกรุงเทพมหานคร, นายปรีชา หรือไก่เตี้ย อยู่เย็น ชาวจังหวัดเชียงใหม่, นายรณฤทธิ์ หรือนะ สุริชา ชาวจังหวัดอุบลราชธานี, นายชำนาญ หรือเล็ก ภาคีฉาย ชาวกรุงเทพมหานคร และนางปุนิกา หรืออร ชูศรี ชาวกรุงเทพมหานคร เป็นจำเลยที่ 1-5

ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 8 ทวิ 55, 72, 78 และข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมือง ที่ชุมชน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยระบุคำฟ้องว่า เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553

ศาลฎีกาชี้ว่า พยานโจทก์ที่นำมาสืบ มีความน่าสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ และบันทึกถ้อยคำให้การมีลักษณะลอกเลียนกันเกือบเหมือนกันทุกถ้อยคำ ไม่เห็นด้วยกับที่ศาลล่างทั้งสองตัดสินจำคุก 10 ปี จึงยกประโยชน์ให้จำเลย