สัมภาษณ์
นโยบายการจัดระเบียบเมือง โดยนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงดินนั้น พูดถึงมายาวนานแล้ว แต่ในทางปฏิบัติสะดุดล่าช้าอย่างมาก ด้วยว่าเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นพื้นผิวถนนของกรมทางหลวง, หน่วยงานปกครองท้องถิ่น, เสาไฟของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และนครหลวง, สายสื่อสารของผู้ให้บริการโทรคมนาคม แม้กระทั่งสายที่ต่อเชื่อมเข้าบ้านประชาชน ล้วนแล้วแต่เป็นความท้าทาย
“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสพูดคุยกับ “มรกต เธียรมนตรี” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ในฐานะที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้โดยตรง เพื่อสะท้อนมุมมองทั้งที่เกี่ยวกับปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ รวมถึงวิธีการและแนวคิดที่จะผลักดันให้เกิดขึ้นได้จริง
- ด่วน! วอยซ์ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
ปัญหาและอุปสรรคสำคัญ
ที่ผ่านมา ผู้บริหารเมืองอยากเร่งให้การนำสายไฟสายสื่อสารลงดินเกิดขึ้นเร็วที่สุด แต่ไม่ง่าย เพราะมีความเกี่ยวข้องกับหลายส่วนงาน อย่างกรณีเอ็นทีซึ่งดูแลสายสื่อสาร ที่พาดแขวนบนอากาศ ก็ได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ดูแลโดย กสทช. ทำให้ผู้ว่าฯเมือง หรือใครจะสั่งการให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรื้อลงมาเลยไม่ได้
ทีนี้เมื่อสายสื่อสารที่แขวนบนอากาศได้รับการคุ้มครอง คนก็มักมองไปที่การไฟฟ้า ทั้งส่วนภูมิภาค และนครหลวงที่ดูแลเสาไฟฟ้าทั่วประเทศ และกลายเป็นโจทย์ใหญ่ของเขา ทั้งพื้นที่ที่สายไฟรกรุงรังมักเป็นเขตเมืองหรือเขตที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ หรือการท่องเที่ยว ปัญหาที่ตามมา คือ กฟน. กฟภ. จะได้รับอนุญาตให้เจาะผิวถนนจากหน่วยงานในท้องถิ่นก็ยาก เพราะการสร้างท่อร้อยสายไฟฟ้าใหม่ใช้เวลานาน และกระทบการจราจรของเมืองอย่างมาก
ถ้าจะทำให้เกิดขึ้นได้จริง
เรามองว่าเรื่องโครงข่ายสายไฟ หรือสายสื่อสารควรเป็นความรับผิดชอบของรัฐวิสาหกิจ เพราะเป็นทรัพยากรสำคัญของชาติ แต่ที่ผ่านมาคิดแยกกัน ทำคนละอย่าง จนเมื่อไม่นานนี้ ตนเพิ่งมาคิดได้ว่าเรากำลังนั่งทับขุมทรัพย์
เพียงแต่มองไม่เห็น นั่นคือ โครงข่ายท่อร้อยสายที่มีอยู่ ก็ร้อยสายไฟฟ้าเข้าไปด้วยได้ และมีมากพอสำหรับสายไฟฟ้าสำรอง
ขณะนี้กำลังทดสอบแนวคิด (Proof of Concept) กับการไฟฟ้าทั้งนครหลวง และภูมิภาค จะเป็นการแบ่งปันโครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรร่วมกันของ 2 รัฐวิสาหกิจ
เอ็นทีมีท่อร้อยสายใต้ดิน 4,450 กิโลเมตร แบ่งเป็นท่อร้อยสายในนครหลวง 3,600 กิโลเมตร ภูมิภาค 850 กิโลเมตร เป็นโครงข่ายเดิมขององค์การโทรศัพท์ฯที่ทำไว้เมื่อ 50 ปีก่อน ท่อร้อยสายสื่อสารหนาแน่นอย่างมากในเขตเมือง สายทองแดง ซึ่งเป็นสายสื่อสาร สายโทรศัพท์รุ่นเก่า เมื่อนำไปขายก็จะกลายเป็นท่อร้อยสายว่าง ๆ
เหมือนได้นกสองตัว ตัวแรก ทองแดงนำไปขายเป็นรายได้ ตัวที่สอง ได้พื้นที่ของท่อ ที่เรียกว่า duct เราใช้ท่อนี้น้อยลงมาก เพราะเทคโนโลยีสายไฟเบอร์ปัจจุบันมีขนาดเล็กกว่าทองแดงยุคก่อนมาก ดังนั้น ตลอด 2 ข้างถนน บางเส้นมีท่อร้อยสาย 2 ฝั่ง สูงสุด 12 duct เส้นผ่านศูนย์กลาง 4 นิ้ว หนูตัวใหญ่ ๆ วิ่งได้สบาย เรามีเยอะ แต่ยังไม่มีการนำมาใช้งาน
ท่อที่เรามียาวกว่า 4 พันกิโลเมตร เพราะการวัดระยะ วัดจากท่อที่ทำคู่กับถนน แต่ระยะถนน ไม่ว่าถนนเส้นหนึ่ง ต้องมีทองแดงทั้ง 2 ข้าง มีอยู่ใต้ผิวถนนเลนส์หนึ่ง 50 ปีก่อนบางเส้นอยู่ใต้ฟุตปาท ต่อมาฟุตปาทไม่มีแล้ว ขยายถนนจาก 2 เลน เป็น 4-6 เลน ท่อก็เลยอยู่กลางถนนบ้าง
ข้อสังเกต คือ จะมีฝาเรียกว่า “แมนโฮลด์” เป็นเหล็กอยู่บนพื้นผิวถนน
นำสิ่งที่มีอยู่แล้วมาปรับใช้
นั่นคือขุมทรัพย์ที่เรานั่งทับมานาน ตลอดเวลา เรานึกว่าการนำสายไฟฟ้าลงดินของการไฟฟ้าฯ ต้องขุดลึก 3 เมตร และเราฝังใจมาตลอด เพราะเราแยกกันคิดแยกกันทำ โดยลืมไปว่าสายไฟฟ้ามี 3 ระดับแรงดัน ต่ำ กลาง สูง สายที่ต้องขุดลึก 3 เมตรคือแรงดันสูง ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในเขตเมือง และเขตเมืองล้วนมีท่อร้อยสายของเราเดินคู่ขนานไปด้วย
วันหนึ่งผมนึกขึ้นได้จึงปรึกษาวิศวกรของเราว่าสายไฟฟ้าแรงดันต่ำถึงกลางที่พาดอยู่ในเมืองนี้ เส้นผ่านศูนย์กลางเท่าไหร่ เขาบอกว่าไม่เกิน 2 นิ้ว ผมคำนวณดูว่าสายไฟฟ้ามี 4 เส้น รวมกระแสสำรองเป็น 8 เส้น เรามี 12 รูท่อ (duct) ดังนั้นมีเหลือเฟือ จึงถามต่อไปว่าแล้วพวกเทคโนโลยีปลอกหุ้มท่อและการป้องกันอันตรายต่าง ๆ ทำได้ไหม บอกเลยว่าได้ สายไฟในท่อร้อยสายที่โดนน้ำท่วมมานานหลายสิบปีไม่เคยเสียหาย
เราจึงทำ Proof of Concept และพูดคุยเจรจากับทางการไฟฟ้า เพื่อหาข้อตกลงที่จะลองทดสอบโครงการนำร่องได้
เรื่องนี้สำคัญมาก หากเราช่วยการไฟฟ้านำสายไฟฟ้าแรงดันต่ำถึงกลางลงดินในเขตเมืองได้ เสาไฟฟ้าก็ไม่มีความจำเป็น เมื่อไม่มีเสาไฟฟ้า “สายสื่อสาร” ก็จะถูกนำลงดินโดยสภาพบังคับทางกฎหมาย
มีโอกาสเกิดขึ้นแค่ไหน
การเจรจากับการไฟฟ้าให้ใช้ท่อร้อยสายของเอ็นที อยู่บนการต่อรองที่ “วิน-วิน” 4 ระดับ
1.การไฟฟ้า แก้ปัญหาสายไฟในเขตเมืองได้รวดเร็ว มีการตั้งงบประมาณ และเบิกจ่ายได้อย่างคุ้มทุนกว่าการทยอยขุดผิวถนนทำทีละเล็กน้อย ดีลนี้จะช่วยให้การไฟฟ้าสะดวกขึ้น ทำตามความคาดหวังของประชาชนที่อยากเห็นบ้านเมืองเป็นระเบียบได้เร็วขึ้น
2.มหาดไทย/หน่วยงานท้องถิ่น ไม่ต้องปิดถนนตั้งงบฯใหม่ เมื่อนำสายไฟ สายสื่อสารที่หนาแน่นในเขตเมืองลง ก็ทำให้เกิดความปลอดภัยจากปัญหาสายไฟไหม้ หรือหลุดร่วงมาเกี่ยวคน สร้างทัศนียภาพที่ดีให้เมือง
3.โอเปอเรเตอร์ เอ็นทีเสนอให้ใช้ในลักษณะ last mile provider รองรับทั้ง broadband และ data service ลดการลงทุนซ้ำซ้อน และใช้ทรัพยากรของรัฐที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น ถนนเส้นหนึ่งเป็นพื้นที่ที่ต้องการต่อสายสื่อสาร หรืออินเทอร์เน็ต 100 หลัง แต่มีผู้ให้บริการ 5 ราย ทุกรายต้องสร้างโครงข่าย 100 เส้น รวมกัน 500 เส้น สะสมพอกพูน แต่ละรายมีต้นทุนรักษาสาย 100 เส้น แต่เมื่อแข่งขันกันจริง ๆ รายที่เก่งอาจครองตลาด 30% ผู้ที่ได้น้อยสุดอาจแค่ 5% ถามว่าอีก 70% ที่ต้องสร้างและรักษา จะกลายเป็นต้นทุนเสียเปล่า เราเสนอให้ใช้ระบบท่อร้อยสาย และโครงข่าย single last mile ของเรา
ผู้ประกอบการไม่ว่าจะได้ 30% หรือ 5% เราเป็นผู้บำรุงรักษาสายให้ เป็นผู้ต่อสายเข้าบ้านของลูกค้า 100 หลังนั้นได้ เพื่อให้โอเปอเรเตอร์นำต้นทุนที่ต้องทำเองไปแข่งด้านอื่น ๆ เช่น ความเร็ว ความเสถียร
ก่อนหน้านี้โอเปอเรเตอร์มอง 2 เรื่อง คือ ค่าเช่าแพง และเอ็นที บริหารจัดการท่อไม่ดี
เรื่องแรก การคำนวณค่าเช่าใช้ท่อเปลี่ยนไป เราเห็นแล้วว่า ไม่จำเป็นต้องร้อยสายทั้งหมดลงท่อ ให้ใช้เท่าที่จำเป็น หรือจ่ายเท่าที่ใช้ จะอยู่ราว 90-120 บาทต่อยูสเซอร์ มีลูกค้าหรือยูสเซอร์กี่หลังก็เช่าแค่นั้น เมื่อลูกค้าเลิกใช้ สายสื่อสารยังอยู่ แต่โอเปอเรเตอร์ไม่ต้องจ่ายต่อ เราก็จะนำไป provide คนอื่นต่อ
ส่วนที่มองว่า เอ็นทีเป็นรัฐวิสาหกิจ ไม่ทำงานเสาร์-อาทิตย์ หรือ 24 ชม. หากเกิดปัญหา ใครจะดูแลโครงข่าย ผมอยากบอกว่าโอเปอเรเตอร์ต่าง ๆ ล้วนจ้างบริษัทภายนอกช่วยบำรุงระบบ เราก็จ้างมาช่วยบริหารจัดการได้ ส่วนเทคโนโลยี ยืนยันว่าใช้งานได้อย่างดี ดังนั้นเมื่อค่าเช่าถูกลง ต้นทุนก็ถูกลง เราเองก็ได้ใช้ท่อและสายที่ว่าง วิน-วินทั้งคู่
4.ประชาชนได้ประโยชน์ เมื่อสายไฟฟ้าลงดินจะเกิดความปลอดภัย และทัศนียภาพที่ดี หากโอเปอเรเตอร์ต้นทุนลดลง ก็จะหันไปโฟกัสการแข่งขันด้านบริการ และอื่น ๆ ที่ประชาชนจะได้ประโยชน์ได้
ความอยู่รอดของเอ็นที
ความพยายามที่จะทำให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรที่มี เหมือนการแสวงหาความอยู่รอดในอนาคตของเอ็นทีด้วย การเจรจากับการไฟฟ้า หากสำเร็จและบรรลุข้อตกลงร่วมกัน อีกส่วนที่ต้องพูดถึง คือ “ค่าเช่า” เขาถูกกดดันมาตลอดว่าจะเอาเสาไฟลงได้เมื่อไร อย่างไร สมมุติขุดถนนใหม่ กิโลเมตรละ 5-7 ล้านบาท ซึ่งอาจสูงกว่านี้ ต้องคิดว่ากี่ปีคืนทุน ถ้าตั้งงบฯแบบนี้อีกร้อยปีจะทำเสร็จไหม เราเองก็ต้องคิดว่าจะให้เขาจ่ายให้เราได้สูงสุดเท่าที่จ่ายไหว แต่ก็ต้องคำนวณความคุ้มทุนของเราด้วย แล้วไปเสนอให้ตัดสินใจง่ายขึ้น
ในกรุงเทพฯค่าเช่าน่าจะอยู่เดือนละ 5 หมื่นบาทต่อกิโลเมตรต่อเดือน เงินเหล่านี้ก็เป็นเงินหลวง ที่เกิดจากการบริหารทรัพยากรของประเทศ เลยมองว่าทั้งโครงข่ายไฟฟ้าและท่อสายสื่อสาร เป็นโครงสร้างพื้นที่ 2 รัฐวิสาหกิจต้องเข้ามาทำ ไม่ใช่เอกชน
แต่ท้ายที่สุดแล้ว คลื่นลูกใหญ่ที่รอเอ็นทีอยู่ คือ การหมดอายุของสัญญาเอไอเอส ในคลื่น 2100 MHz ทรู คลื่น 2300 MHz ดีแทค คลื่น 850 MHz จะหายไปในปี 2568 รวมกว่า 60,000 ล้านบาท มากกว่า 50% ของรายได้รวม รวมถึงรายได้อื่น ๆ ที่เกิดจากพันธมิตรก็จะลดลงตาม
ความอยู่รอดของเอ็นที คือ สภาพคล่อง ไม่ใช่แค่รายได้อย่างเดียว ก่อนหน้านี้ ซีอีโอเอ็นทีเคยพูดถึงการที่จะลดต้นทุนด้วยการมีโครงการเกษียณก่อน ซึ่งเราจ่ายคุ้มมาก ๆ ทั้งคาดหวังรายได้จากธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะสปินออฟออกไป หรือเข้าไปถือหุ้นในบริษัทที่มีโอกาสเติบโต จะไม่เข้าไปบริหารเอง แต่กับกรณีท่อร้อยสาย ควรเข้าไปบริหารในฐานะรัฐวิสาหกิจ