“สมาร์ทดีไวซ์” ยังโตยาว อานิสงส์โควิด-เทรนด์สุขภาพ

อานิสงส์โควิด-19 ตีคู่เทรนด์รักสุขภาพ เสริมส่งตลาดอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทคโตต่อเนื่อง “การ์ทเนอร์” เผยมูลค่าการใช้จ่ายเพิ่ม 4 ปีติดต่อกัน คาดปี’64 ตลาดรวมทั่วโลกทะลุ 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ “สมาร์ทวอตช์-สายรัดข้อมือสุขภาพ-หูฟัง-แผ่นแปะอัจฉริยะ” เข้าคิวฮอตติดลม ผู้ผลิตเล็งพัฒนาเซ็นเซอร์ขนาดเล็กรองรับดีมานด์พุ่งขึ้น

นายรันจิต อัตวัล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยอาวุโส การ์ทเนอร์ บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาระดับโลก กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพเพิ่มขึ้น จึงถือเป็นโอกาสสำคัญของสินค้าในกลุ่มอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ (wearable device) ที่สามารถเก็บข้อมูลการใช้ชีวิตของผู้บริโภคและนำไปประมวลผลได้ เช่น สมาร์ทวอตช์ และสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพ เป็นต้น

จากการเก็บข้อมูลการใช้จ่ายอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะของผู้บริโภคทั่วโลกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คือ ในปี 2562 และปี 2563 และคาดการณ์แนวโน้มการใช้จ่ายอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะของผู้บริโภคในปี 2564 และปี 2565 พบว่า ตลาดอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยในปี 2562 อยู่ที่ 46,194 ล้านเหรียญสหรัฐ

หากแยกแบ่งตามประเภทอุปกรณ์ พบว่า กลุ่มสมาร์ทวอตช์มีมูลค่าสูงสุดที่ 18,501 ล้านเหรียญสหรัฐ รองมาเป็นหูฟัง 14,583 ล้านเหรียญสหรัฐ สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพ 5,101 ล้านเหรียญสหรัฐ, อุปกรณ์แผ่นแปะอัจฉริยะ (smart patches) หรือเซ็นเซอร์ตรวจเช็กสุขภาพที่นำมาใช้ติดบนผิวหนังเพื่อวัดอุณหภูมิ อัตราการเต้นของหัวใจ น้ำตาลในเลือดหรือข้อมูลสุขภาพอื่น ๆ อยู่ที่ 3,900 ล้านเหรียญสหรัฐ จอแสดงผลแบบสวมศีรษะ 2,777 ล้านเหรียญสหรัฐ และเสื้อผ้าอัจฉริยะ 1,333 ล้านเหรียญสหรัฐ

ส่วนในปี 2563 มูลค่ารวมอยู่ที่ 68,985 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็น หูฟัง 32,724 ล้านเหรียญสหรัฐ สมาร์ทวอตช์ 21,758 ล้านเหรียญสหรัฐ สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพ 4,987 ล้านเหรียญสหรัฐ อุปกรณ์แผ่นแปะอัจฉริยะ 4,690 ล้านเหรียญสหรัฐ จอแสดงผลแบบสวมศีรษะ 3,414 ล้านเหรียญสหรัฐ และเสื้อผ้าอัจฉริยะ 1,411 ล้านเหรียญสหรัฐ

“มีการคิดค้นสินค้าในกลุ่ม smart patches มาระยะหนึ่งแล้วแต่นำมาใช้ช้า เนื่องจากมีบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยบางส่วนคัดค้านระบบจ่ายยาอัตโนมัติ ขณะที่การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ผู้บริโภคให้ความสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น มีการเรียนรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับสินค้ากลุ่ม e-Health มากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการสมาร์ทแพตช์ในตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ”

สำหรับในปี 2564 การ์ทเนอร์ คาดการณ์ว่า ตลาดจะโตขึ้น 18.1% จากปี 2563 หรือคิดเป็นมูลค่า 81,499 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งอุปกรณ์ในกลุ่มหูฟังมีแนวโน้มการเติบโตดีขึ้นตั้งแต่ปี 2563 และคาดว่าในปี 2564 จะมีมูลค่าถึง 39,220 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่จะอัพเกรดหูฟังของตนเองให้รองรับการทำงานผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ได้มากขึ้น

และคาดว่าในปี 2565 จะยังโตต่อเนื่อง ต่อด้วยสมาร์ทวอตช์ 25,827 ล้านเหรียญสหรัฐ, อุปกรณ์แผ่นแปะอัจฉริยะ 5,963 ล้านเหรียญสหรัฐ, สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพ 4,906 ล้านเหรียญสหรัฐ, จอแสดงผลแบบสวมศีรษะ 4,054 ล้านเหรียญสหรัฐ และเสื้อผ้าอัจฉริยะ 1,529 ล้านเหรียญสหรัฐ

ขณะเดียวกัน การ์ทเนอร์ยังคาดการณ์ว่าในปี 2565 การใช้จ่ายอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะยังโตต่อเนื่อง มีมูลค่ารวม 93,858 ล้านเหรียญสหรัฐ จากกระแสการเวิร์กฟรอมโฮมและความนิยมในการติดตามข้อมูลสุขภาพด้วยตนเองในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาดที่ยังส่งผลต่อเนื่อง

ประกอบด้วยหูฟัง ที่มีมูลค่า 44,160 ล้านเหรียญสหรัฐ สมาร์ทวอตช์ 31,337 ล้านเหรียญสหรัฐ ถัดมาคืออุปกรณ์แผ่นแปะอัจฉริยะ 7,150 ล้านเหรียญสหรัฐ, จอแสดงผลแบบสวมศีรษะ 4,573 ล้านเหรียญสหรัฐ สายรัดข้อมูลสุขภาพ 4,477 ล้านเหรียญสหรัฐ และเสื้อผ้าอัจฉริยะ 2,160 ล้านเหรียญสหรัฐ

“อุปกรณ์สวมใส่หรือสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพ มีแนวโน้มเติบโตลดลง เนื่องจากผู้ผลิตหันไปพัฒนาอุปกรณ์และเซ็นเซอร์ที่ใช้ทางการแพทย์มากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ขับเคลื่อนให้ตลาดนี้ให้โตต่อเนื่องในระยะยาว”

“ขณะที่เทรนด์ในอนาคต บรรดาผู้ผลิตจะเร่งพัฒนาความแม่นยำของเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งในอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทค และเริ่มลดขนาดเซ็นเซอร์ในอุปกรณ์ให้เล็กลงจนผู้ใช้แทบมองไม่เห็น เช่น แหวนอัจฉริยะ อุปกรณ์ติดตามสุขภาพร่างกาย (spire health tag) หรือเวชภัณฑ์ดิจิทัลที่มีเซ็นเซอร์ที่บริโภคได้ คาดว่าในปี 2567 การย่อจะทำให้ขนาดเซ็นเซอร์อยู่ที่ 10% ของเทคโนโลยีสวมใส่ทุกประเภท”