หุ่นยนต์โตแรง “เอปสัน” เพิ่มดีกรี บุกมั่นใจศักยภาพตลาดไทย

“เอปสัน” ไม่หวั่นวิกฤตโควิด-ปัจจัยลบการเมืองเดินหน้าลงทุนในไทยต่อเนื่อง เตรียมผุด “โรบอตเซ็นเตอร์” เพิ่มดีกรีบุกตลาดหลังยอดขายหุ่นยนต์โตแรง ทั้งเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่สิงคโปร์ควบโซลูชั่นเซ็นเตอร์โชว์นวัตกรรมเสริมแกร่งธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายซิ่ว จิน เกียด กรรมการผู้จัดการระดับภูมิภาค เอปสัน สิงคโปร์ กล่าวว่า บริษัทยังมีแผนการลงทุนในประเทศไทยต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการขยายตัวได้อีกมาก แม้ปัจจุบันจะเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 และปัจจัยลบทางการเมือง

แต่มองว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น ท้ายที่สุดเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็วด้วยว่าตลอดระยะเวลาที่ดำเนินธุรกิจในไทยไม่ว่าจะเผชิญกับวิกฤตใด ๆ ทั้งวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ปัญหาการเมืองต่าง ๆ แต่ประเทศไทย คนไทยก็มีความยืดหยุ่นในการ ปรับตัว แข็งแกร่ง และสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว

“เทียบขนาดเศรษฐกิจของไทยกับสิงคโปร์จะพบว่าขนาดเศรษฐกิจของสิงคโปร์ใหญ่กว่าประเทศไทย40% ก็จริง แต่ขนาดประชากรในไทยใหญ่กว่าสิงคโปร์ถึง 12 เท่า จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก”

ขณะเดียวกัน บริษัทได้เปิดสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งใหม่ที่ Alexandra Technopark ประเทศสิงคโปร์ ประกอบด้วยโซลูชั่นเซ็นเตอร์ 2 แห่ง

ทำหน้าที่ให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นต่าง ๆ ครอบคลุมนวัตกรรมด้านการพิมพ์, การฉายภาพ, หุ่นยนต์แขนกล และ PaperLab เครื่องผลิตกระดาษจากกระดาษที่ใช้แล้วด้วยกระบวนการแบบแห้งเครื่องแรกของโลก

ซึ่งทั้งหมดเป็นนวัตกรรมที่เน้นเรื่องความยั่งยืน จึงคาดว่าจะเพิ่มความสามารถในการให้ความรู้กับคู่ค้าและลูกค้าเกี่ยวกับโซลูชั่นที่ยั่งยืนอันนำไปสู่การสร้างชุมชนที่เป็นมิตร และใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างการเติบโตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“PaperLab ถือเป็นไฮไลต์ของการเปิดสำนักงานใหม่ ด้วยความสามารถในการผลิตกระดาษจากกระดาษที่ใช้แล้วในสำนักงาน ใช้เทคโนโลยี dry fiber ที่ไม่มีการใช้น้ำในกระบวนการผลิตต่างจากการรีไซเคิลกระดาษแบบเดิมจึงลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะวางจำหน่ายในปีนี้เริ่มที่สิงคโปร์ และทยอยเปิดตัวในไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย”

ด้านนายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตนขึ้นมารับตำแหน่งผู้อำนวยการบริหารในภูมิภาคเมื่อเดือน เม.ย.ปีที่แล้ว (เป็นผู้บริหารคนไทยคนแรกที่ดำรงตำแหน่งนี้)

 

ทำให้ช่วงแรกต้องเผชิญความท้าทาย และความคาดหวังจากบริษัทแม่ค่อนข้างมาก ประกอบกับเข้ามาในช่วงที่เริ่มมีการระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบหลายด้านแต่ตลอดปีกว่าที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถผ่านมาได้ ทั้งในแง่การบริหารจัดการภายในองค์กร การลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ

รวมถึงการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์เพื่อสนับสนุนลูกค้าให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ซึ่งความสำเร็จทั้งหมดเกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของทีมงานเอปสันประเทศไทยทุกคน

“เชื่อว่าสถานการณ์ต่าง ๆ จะเริ่มดีขึ้นกว่าปีก่อน ทั้งด้านยอดขาย การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมถึงสัดส่วนการตลาดที่จะเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมามีความท้าทายเกิดขึ้นในทุก ๆ ด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในและนอกองค์กร แต่ทีมเอปสันประเทศไทยก็พาบริษัทผ่านวิกฤตมาได้ และจะพาองค์กรเดินหน้าเพื่อสร้างการเติบโตต่อทั้งในส่วนธุรกิจบีทูบี คอนซูเมอร์ และโปรเจ็กต์ใหญ่ ๆ”

นายยรรยงกล่าวด้วยว่า กลุ่มสินค้าที่เติบโตอย่างมาก นอกเหนือไปจากกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ต และเครื่องพิมพ์ฉลากก็คือ แขนกล และหุ่นยนต์ โดยมีโควิดเป็นตัวเร่งสำคัญทำให้ลูกค้าตัดสินใจลงทุนมากขึ้น เพื่อนำไปช่วยด้านการผลิต โดยกลุ่มลูกค้าหลักจะอยู่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ จึงจะหันมาโฟกัสการทำตลาดหุ่นยนต์มากขึ้น และมีแผนการลงทุนในระยะยาวที่จะเปิด “โรบอตโซลูชั่นเซ็นเตอร์” ในประเทศไทย

ในแง่การทำงาน เอปสันมีนโยบายให้พนักงาน WFH 100% และเข้าออฟฟิศเท่าที่จำเป็นเพื่อความปลอดภัย และปรับกระบวนการทำงานทั้งหมดเป็น online หรือ digital เต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการประชุม, การอนุมัติเอกสาร

รวมถึงลงทุนinfrastructure ต่างๆ ให้รองรับการทำงาน online เต็มรูปแบบ หากสถานการณ์ดีขึ้นอาจปรับการทำงานเป็นแบบไฮบริดในบางแผนก และนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงาน และบริหารจัดการการขายและการตลาด โดยเน้นการสร้างความสมดุลในทุกภาคส่วน รวมถึงติดตามความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อหาโซลูชั่นที่เหมาะสม