“ตั้งงี่สุน” ชี้พิษสุญญากาศ 3 เดือนยอดดิ่งกว่าช่วงโควิด

มิลินทร์ วีระรัตนโรจน์
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ

“เราเป็นเหมือนม้าศึกที่วิ่งอยู่บนถนนลูกรังกับรัฐบาลเดิมมานาน และตอนนี้ก็เหมือนถูกถีบลงป่าข้างทาง แต่ทิศทางของรัฐบาลใหม่เหมือนจะมีอนาคต” นี่เป็นคำพูดของ “มิลินทร์ วีระรัตนโรจน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง จ.อุดรธานี ที่ให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ” เกี่ยวกับสถานการณ์การค้าในปัจจุบัน และความหวังจากรัฐบาลใหม่

โดยระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจหลังเลือกตั้งค่อนข้างซบเซา ยอดขายสินค้าเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัดในไตรมาส 2 สาเหตุเพราะเกิดสุญญากาศทางการเมือง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ซึ่งน่าจะกินเวลา 3 เดือน ที่รัฐบาลเก่าไม่ทำอะไรเลย ส่วนรัฐบาลใหม่ก็ยังไม่สามารถจัดตั้งได้ สถานการณ์นี้หนักกว่าช่วงโควิด-19 ทำให้ทุกอย่างติดหล่ม ไร้การขับเคลื่อน

สุญญากาศ 3 เดือนหลังเลือกตั้ง

นายมิลินทร์เปิดเผยว่า กระแสการเมืองที่ก้าวไกลได้คะแนนเสียงข้างมากทำให้ผู้คนมีความสุข แต่เชื่อว่านโยบายที่พรรคหาเสียงไว้ต้องปรับอีกเยอะมาก อาจทำไม่ได้เหมือนฝันไว้ด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น เรื่องขึ้นค่าแรง 450 บาท ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบมาก

แต่การจับมือกับพรรคเพื่อไทยถือเป็นกรณีที่น่าสนใจ และน่าจะขับเคลื่อนเรื่องต่าง ๆ ไปได้ เพราะมีส่วนผสมของคนรุ่นใหม่ไฟแรงกับคนรุ่นเก่ามากประสบการณ์

ขณะเดียวกันช่วงสุญญากาศหลังเลือกตั้งประมาณ 3 เดือนถือว่าเป็นช่วงที่หนักกับประชาชน เนื่องจากรัฐบาลเก่าไม่ทำอะไรเลย ส่วนรัฐบาลใหม่ยังไม่สามารถจัดตั้งได้ ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจไม่ดี

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนออกมาผ่านการค้าขาย ร้านค้าทุกแห่งน่าจะเป็นเหมือนกัน โดยเฉพาะในภาคอีสานที่ผู้ประกอบการสอบถามข่าวคราวกันอยู่ในระยะนี้

อย่าง “ตั้งงี่สุน” ถือว่ายอดขายร่วงในรอบ 10 ปี แย่กว่าตอนเกิดโควิด-19 ที่คนยังมีเงินจากภาครัฐมาเยียวยา แต่ตอนนี้ทุกคนต้องช่วยเหลือตัวเองเท่านั้น น่าจะแย่กว่าช่วงโควิด-19 สัก 20-30%

สังเกตได้ว่าการขายของผ่านหน้าร้านหรือกระแสเงินสด (Cash flow) เริ่มหายไปทั้งลูกค้ารายเล็ก รายย่อย บางคนเคยซื้อสินค้า 3-4 รอบต่อเดือน ลดลงเหลือ 2 รอบต่อเดือน บางคนมีเงินในกระเป๋าซื้อของได้น้อยลง เพราะเป็นหนี้มากขึ้น

สวนทางกับที่สถาบันการเงิน ธนาคารต่าง ๆ ที่ประกาศกำไรทุกปี ซึ่งกำไรส่วนหนึ่งมาจากหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น คนกู้แบงก์เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายหลายทาง ฉะนั้นสินค้าต่าง ๆ จึงขายไม่ออก แม้แต่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาก็ไม่คึกคัก

ส่วนการขายสินค้าไป สปป.ลาว ตั้งงี่สุนยังคงขายได้ปกติ แต่จะสามารถขายได้ต่อเนื่องในระยะยาวหรือไม่ ต้องดูอนาคต ด้วยสาเหตุจาก 1.ปัญหาเงินเฟ้อใน สปป.ลาว ทำให้มูลค่าเงินกีบน้อยมาก สินค้าไทยจึงค่อนข้างแพงสำหรับคนลาว

2.คนลาวเริ่มหันไปใช้เงินหยวนมากขึ้น คนจีนก็หันมาทำการค้าใน สปป.ลาวมากขึ้น แทบจะครองประเทศ มีสินค้าจีนทะลักเข้ามาแข่งกับสินค้าไทยด้วยอีกทาง

ตั้งงี่สุน

อีกทั้งการค้าจาก สปป.ลาวข้ามมาไทยก็ง่ายมาก พ่อค้าคนไทยต้องจับตามองสถานการณ์ให้ดี ภายใน 5 ปีอาจจะเปลี่ยนไปโดยมีจีนเป็นตัวแปรสำคัญ

“จริง ๆ แล้วระบบเศรษฐกิจไทยมันสะดุดตั้งแต่ปลายปี 2565 ช่วงเดือนตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม ที่รัฐบาลก่อนไม่ยอมปล่อยเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ หยุดการปล่อยเงินก่อนเลือกตั้ง พอหลังเลือกตั้งก็มีแต่ Good News ทำให้คนมีความหวัง

แต่หากเกิดสุญญากาศ 2-3 เดือนน่าจะเริ่มแย่ลง เพราะคนต้องประคองตัวเอง แรงงานเริ่มหาย ผู้ประกอบการอย่างผมถือว่าสิ้นหวังมากกับช่วงนี้ เพราะต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเองโดยไม่มีรัฐบาล ฉะนั้นไม่ว่ารัฐบาลไหนจะเข้ามาทำงาน ต้องเร่งอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก เรื่องแก้กฎหมายและอื่น ๆ ค่อยว่ากันทีหลัง”

จี้รัฐอัดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจก่อน

นายมิลินทร์กล่าวว่า ตอนนี้ความชัดเจนทางการเมืองไม่มี หลังเลือกตั้งน่าจะต้องเร่งรัดจัดตั้งรัฐบาลใหม่ให้เร็วที่สุด เพราะรัฐบาลเดิมคนไม่เชื่อมั่นแล้ว สิ่งที่ทำมาทั้งหมดไม่ใช่แนวทางอีกต่อไป

บางบริษัทเริ่มเปลี่ยนนโยบายการค้า เพราะตัวเลขเริ่มหายไป รอว่าในเดือนสิงหาคม 2566 จะได้รู้ความชัดเจน ว่าสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้หรือไม่ แต่ถ้าจัดตั้งได้เชื่อว่าสิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับรัฐบาลที่จะทำอย่างแน่นอนคือ อัดเงินเข้าระบบให้ฟันเฟืองเศรษฐกิจหมุนก่อน

แม้หลายนโยบายเดิมที่มีอยู่จะเปลี่ยนไป แต่คงเกิดการสร้างงาน การแข่งขันทางธุรกิจในนโยบายใหม่ เช่น สุราเสรี น่าจะปรับทิศทางธุรกิจให้ดีขึ้นได้เป็นลำดับแม้ต้องใช้เวลา

สำหรับการค้า ผู้ประกอบการต่างก็จัดรายการโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม แข่งขันกันเพื่อให้ยอดขายมากที่สุด ซึ่งตรงกับช่วงโรงเรียนเปิดเทอมพอดี ที่พ่อแม่ผู้ปกครองมีรายจ่ายสูง เฉพาะอุปกรณ์การเรียนอาจจะขายดี แต่ตลาดสินค้าอื่น ๆ ยังไม่ดี

ช่วงนี้อยู่ในไตรมาส 2 แม้ยอดขาย 6 เดือนแรกของปี 2566 มีแนวโน้มไม่ดี แต่ 6 เดือนหลังน่าจะพยายามดึงตัวเลขกลับคืนมาให้ได้ โดยปี 2565 ตั้งงี่สุนมียอดขาย 3,800 ล้านบาท ปี 2566 ตั้งเป้าไว้เท่าปีที่แล้ว แต่จากสถานการณ์ตอนนี้คาดว่ายอดขายน่าจะหายไปประมาณ 10% คาดหวังรัฐบาลใหม่จะแก้ปัญหาถูกจุดตามเหตุและผล

เราเป็นเหมือนม้าศึกที่วิ่งอยู่บนถนนลูกรังกับรัฐบาลเดิมมานาน และตอนนี้ก็เหมือนถูกถีบลงป่าข้างทาง ปัญหาหลายอย่างถูกทิ้งไว้ เช่น ค่าไฟที่ยังแพงและทำอะไรไม่ได้ การสร้างงานสร้างเงินก็เช่นกัน เหมือนพ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยการหาอาหารให้ แต่ไม่เคยสอนให้ลูกตกปลาเอง

ฉะนั้นขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ ว่าจะดึงม้าศึกมาวิ่งไปต่อได้อย่างไร เพราะสุดท้ายสิ่งที่คนอยากเห็นจากรัฐบาลใหม่คือ จะหาเงินแบบไหน ผมตอบไม่ได้ว่า ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ แต่ทิศทางของรัฐบาลใหม่เหมือนจะมีอนาคต