“เซ็น กรุ๊ป” ทุ่มงบฯ เร่งสปีดเปิดสาขาเพิ่ม ลุยทั้งลงทุนเอง-แฟรนไชส์ ทั้งไทยและต่างประเทศ เดินเกมบุกเมืองท่องเที่ยว “สมุย-ภูเก็ต-หัวหิน” พร้อมโฟกัสธุรกิจค้าปลีกเชิงพาณิชย์ ลุยการรับจ้างผลิต-เพิ่มดีกรีนำเข้าวัตถุดิบอาหาร ช่วยลดต้นทุน-ขยายฐานเจาะลูกค้าสายการบิน-โฮเรก้า
นางยุภาพรรณ เอกสิทธิ์กุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบัญชีและการเงิน ร่วมกับนางนฤมล กิตติโชติรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือเซ็น กรุ๊ป เจ้าของแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่น อาทิ เซ็น, อากะ, ออนเดอะเทเบิ้ล ร้านอาหารไทย ตำมั่ว ลาวญวน เขียง ฯลฯ เปิดเผยในงาน Opportunity Day (23 มิ.ย.)
- เงินอุดหนุนนักเรียน 2567 ช่วยค่าชุด-หนังสือเรียน อนุบาล-ปวช. ได้เท่าไร
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 พ.ค. ย้อนหลัง 10 ปี
- แจกเงินดิจิทัล 10,000 ลุ้นซื้อมือถือ-เครื่องใช้ไฟฟ้า “จุลพันธ์” นัดถกสัปดาห์หน้า
ถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 913 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากการขยายสาขาและการขยายธุรกิจแฟรนไชส์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการสร้างการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกเชิงพาณิชย์ ส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากธุรกิจอาหารและรายได้จากธุรกิจค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น 41% และ 58% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของบริษัทหลัก ๆ มาจากธุรกิจร้านอาหาร 77% รองลงไปคือธุรกิจค้าปลีกเชิงพาณิชย์ 11% ธุรกิจแฟรนไชส์ 6% และธุรกิจดีลิเวอรี่ 5% และไตรมาส 1/2566 ได้เปิดร้านอาหารใหม่ 5 สาขา เป็นสาขาที่บริษัทเป็นเจ้าของ 2 สาขา และแฟรนไชส์ 3 สาขา ทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 มีจำนวนสาขาร้านอาหารรวม 339 สาขา เป็นสาขาที่บริษัทเป็นเจ้าของ 157 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ 182 สาขา หรือคิดเป็นสัดส่วน 46/54
สำหรับแนวทางการดำเนินงานจากนี้ไป สำหรับธุรกิจร้านอาหาร หลัก ๆ จะยังมุ่งขยายสาขาของแบรนด์ต่าง ๆ ในเครืออย่างต่อเนื่อง ภายใต้งบประมาณ 230-250 ล้านบาท โดยทั้งปีตั้งเป้าเปิดสาขาที่เป็นการลงทุนเองประมาณ 40 สาขา และแฟรนไชส์ประมาณ 15-20 สาขา จากตอนนี้ (มิ.ย.) ที่เปิดไปแล้วประมาณ 14 สาขา เป็นการลงทุนของบริษัท 7 สาขา และแฟรนไชส์ 7 สาขา
โดยเฉพาะการขยายไปใน strategic locations เช่น พัทยา หัวหิน ภูเก็ต เชียงใหม่ เพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวหลังจากการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ และส่งผลให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เช่น การเปิดร้านอาหารที่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา ที่มีแผนจะเปิด 5 แบรนด์ ด้วยงบประมาณ 25 ล้านบาท, มหาชัยจะเปิด 3 แบรนด์ ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล ด้วยงบฯราว ๆ 20 ล้านบาท
เช่นเดียวกับราชพฤกษ์ ที่จะเปิดในศูนย์การค้าเซ็นทรัล 3 แบรนด์ ด้วยงบฯ 20 ล้านบาท ขณะที่สมุย (สุราษฎร์ธานี) ภูเก็ต และหัวหิน (ประจวบคีรีขันธ์) มีแผนที่จะเปิด 1 สาขา นอกจากนี้ ยังจะมีการปรับโมเดลการเปิดร้าน ด้วยการเปิดเป็นร้านที่มีขนาดเล็กลง เพื่อให้เหมาะกับการเปิดให้บริการในอาคารสำนักงาน หรือคอมมิวนิตี้มอลล์
ส่วนอากะที่เป็นแบรนด์หลัก ตั้งเป้าภายในปีนี้จะเปิดเพิ่มอีกประมาณ 14 สาขา โดยในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะเปิดอีก 10 สาขา จากช่วงครึ่งปีแรกที่เปิดไปแล้ว 4 สาขาคือ โลตัส คลองหลวง, โลตัส อมตะ, เซ็นทรัล ระยอง และซีคอน บางแค ขณะที่ร้านอาหารเซ็น จะเน้นการให้บริการทั้งในลักษณะที่เป็นไฮบริด มีทั้งบริการที่เป็นอะลาคาร์ต และบุฟเฟต์
หรือในส่วนของร้านออนเดอะเทเบิ้ล การเปิดร้านใหม่จะมีการเปิดร้านชา (Tea Bar) เสริมเข้าไป เพื่อตอบโจทย์และเพิ่มความหลากหลาย ขณะเดียวกัน ทีบาร์ก็ยังช่วยในแง่ของการเพิ่มการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (same store sales growth & SSSG) ได้ด้วย
ขณะที่แบรนด์อื่น ๆ เช่น ตำมั่ว ที่ผ่านมาเปิดแฟรนไชส์ในมาเลเซียเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ลูกค้าชาวมาเลเซียให้การตอบรับที่ดี นอกจากนี้ ก็มีการ collaborate กับ CP และเซเว่นอีเลฟเว่น นำไก่ทอดโบราณสูตรแม่น้อย เมนูยอดนิยมของร้านตำมั่ว “ซีพี ชิคเก้นริบโบราณ สูตรแม่น้อย” วางจำหน่ายในร้านเซเว่นฯ
ส่วนลาว ญวณจะมีการรีเฟรชแบรนด์ใหม่ ปีนี้คาดว่าจะเห็นการเติบโตมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังและต้นปีหน้า ขณะที่เขียง ช่วงนี้อยู่ระหว่างการปรับรูปให้สอดรับกับสถานการณ์ เนื่องจากที่ผ่านมายอดดีลิเวอรี่อาจจะลดลง ขณะที่สาขาที่เปิดในอาคารสำนักงานสามารถทำยอดได้ดีจากการกลับมาทำงานของพนักงานออฟฟิศ
หลังจากเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เปิดร้านออนเดอะเทเบิ้ล ที่เป็นแฟรนไชส์ที่กัมพูชาก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังมีแผนจะเปิดเขียง ที่มาเลเซีย (แฟรนไชส์) ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงไตรมาสที่ 3 หรือ 4 นี้ และจากนี้ไปจะขยายไปต่างประเทศมากขึ้น อีกส่วนหนึ่งก็คือ การพัฒนา ready to cook เพื่อที่จะตอบโจทย์ให้กับการดำเนินงานหลังบ้านให้กับแฟรนไชส์เพื่อที่จะให้สะดวกในแง่ของการดำเนินงานมากขึ้น และโปรดักต์ก็จะมีความเป็นสแตนดาร์ดมากขึ้น
“ส่วนธุรกิจค้าปลีกเชิงพาณิชย์ จะโฟกัสการรับจ้างผลิตเพื่อการส่งออก ผ่านบริษัท เซ็น แอนด์ โกสุม อินเตอร์ฟู้ดส์ จำกัด โดยเน้นการผลิตพวกซอสต่าง ๆ ให้กับเซ็น กรุ๊ป เพื่อที่จะลดต้นทุน เช่นเดียวกับ บริษัท คิง มารีน ฟู้ดส์ จำกัด ผู้นำเข้าวัตถุดิบ อาทิ ปลาแซลมอน หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์
หลังจากที่ทำแวร์เฮาส์และห้องแช่เย็นเสร็จแล้ว ก็จะทำให้มี facility มากขึ้น และช่วยลดต้นทุนได้มากขึ้น และคาดว่าจะมีลูกค้าใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มทั้งในส่วนของสายการบินและกลุ่มโฮเรก้า ขณะเดียวกัน ก็จะมองหาธุรกิจใหม่ที่บริษัทจะเข้าไป M&A เพื่อมาช่วย synergy และสร้างการเติบโตให้กับบริษัท”