ยักษ์คอนซูเมอร์ดิ้นปรับตัว ปั้น”พรีเมี่ยม”จับลูกค้าล่ำซำ

ภาพประกอบ ผู้บริโภค บิ๊กซี ค่าปลีก เศรษฐกิจ
ภาพ: Paula Bronstein/Getty Images

ธุรกิจพลิกเกมแก้ปมเศรษฐกิจ-กำลังซื้อติดหล่ม ทุบสินค้าอุปโภค-บริโภค 4 แสนล้าน ซึมยาว ยักษ์คอนซูเมอร์ “พีแอนด์จี-โอสถสภา-ยูนิลีเวอร์”เปิดเกมรุก ดันไลน์อัพสินค้าพรีเมี่ยม เจาะกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อ-พิษเศรษฐกิจไม่ระคายผิว พร้อมขนทัพสินค้าไซซ์เล็ก ราคาประหยัด ตอบโจทย์ผู้บริโภคกระเป๋าแฟบ

ผลกระทบจากปัจจัยเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัวลากยาวต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้ตลาดสินค้าอุปโภคและบริโภคที่มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 4 แสนล้านบาท ตกอยู่ในภาวะชะลอตัว ผู้ประกอบการต้องดิ้นปรับตัวหาทางออกด้วยการเพิ่มน้ำหนักทำตลาดสินค้ากลุ่มพรีเมี่ยม จับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อมากขึ้น

ดันสินค้าพรีเมี่ยมไดรฟ์ตลาด

แหล่งข่าวระดับสูงจากวงการคอนซูเมอร์โปรดักต์เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตลาดนี้ยังมีโอกาสโต โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มพรีเมี่ยมที่มีอัตราการเติบโตที่ดี เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจเหมือนสินค้ากลุ่มอื่น ๆ และจากนี้ไปคาดว่าซัพพลายเออร์หลายรายจะส่งสินค้าเซ็กเมนต์นี้เข้ามาทำตลาดและจะมีการแข่งขันสูงขึ้น เนื่องจากปัจจุบันตลาดยังมีช่องว่างที่จะเติบโตได้อีกมาก

แหล่งข่าวจากบริษัท พีแอนด์จี ประเทศไทย จำกัด หรือพีแอนด์จี เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่เกิดขึ้น แต่ตลาดยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากความนิยมใช้สินค้าพรีเมี่ยมเป็นตัวขับเคลื่อน จากนี้ไปพีแอนด์จีจะโฟกัสกับสินค้าเซ็กเมนต์พรีเมี่ยมมากขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดทที่มีช่องว่างและมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก รวมทั้งมีแผนเตรียมลอนช์สินค้าทุกกลุ่ม อาทิ ผ้าอนามัยวิสเปอร์ เฮดแอนด์โชว์เดอร์ และโอเลย์ ทุก ๆ 3-6 เดือน พร้อมชูจุดขายนวัตกรรมและโซลูชั่น อาทิ แชมพู-ครีมนวด-ทรีตเมนต์

เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวของบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ที่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ลอนช์ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแบรนด์ใหม่ “ออร์แกนิก” จากเดิมที่มีแบรนด์เบบี้มายด์ทำตลาดอยู่แล้ว วางโพซิชั่นและราคาสูงกว่าเบบี้มายด์ เน้นจุดขายความเป็นพรีเมี่ยม ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ 100% ราคาเริ่มต้น 300-400 บาท ขณะนี้ได้เริ่มทำตลาดแล้วในช่องทางออนไลน์ อาทิ ลาซาด้า เป็นต้น ส่วนแบรนด์เบบี้มายด์จะเพิ่มสูตรสารสกัดธรรมชาติและเสริมวิตามิน

ขณะที่นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานกรรมการและประธานบริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แม่และเด็กดีนี่, ครีมอาบน้ำบีไนซ์ ฯลฯ เปิดเผยว่า จากนี้ไปยุทธศาสตร์หลักของบริษัทจะมุ่งไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และขยับไลน์สินค้าไปยังกลุ่มพรีเมี่ยมมากขึ้น เริ่มจากผลิตภัณฑ์แม่และเด็กดีนี่และผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายทรอส เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า จากการสำรวจซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่ง พบว่าปัจจุบันมีการนำสินค้ากลุ่มพรีเมี่ยมเข้ามาวางจำหน่ายเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม อาทิ เทรซาเม่ (ยูนิลีเวอร์) เคเราสตาส (ลอรีอัล) แพนทีน (พีแอนด์จี) ลักส์ แชมพู ลูมินิคดาเมจรีแพร์ (ยูนิลีเวอร์) มีราคาตั้งแต่ 300-500 บาท นอกจากนี้ยังมีการจัดเป็นเชล์ฟนำเข้าจากต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้าจากอเมริกาและญี่ปุ่น เช่น กลุ่มสกินแคร์ แชมพูและครีมบำรุงผมหลากหลายแบรนด์ อาทิ Aveda Invati System, Moist Diane ฯลฯ มีราคาตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป

ไซซ์เล็กแก้ปมกำลังซื้อ

แหล่งข่าวระดับสูงจากวงการค้าปลีกรายใหญ่แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า ปัจจุบันซัพพลายเออร์ หรือผู้ผลิตสินค้าหลายราย อาทิ ยูนิลีเวอร์ พีแอนด์จี นอกจากจะเน้นการออกสินค้าใหม่แล้ว อีกด้านหนึ่งก็มีการพัฒนาสินค้าที่มีความเป็นพรีเมี่ยม ที่มีคุณภาพและราคาที่สูงขึ้น ไซซ์ใหญ่ขึ้น และกระจายสินค้าออกไปในต่างจังหวัดมากขึ้น เพราะผู้บริโภคในต่างจังหวัด โดยเฉพาะกลุ่มคนระดับกลาง-บน มีความพร้อมในเรื่องของกำลังซื้อและกล้าจ่าย นอกจากปัจจัยเรื่องของกำลังซื้อแล้ว ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและไลฟ์สไตล์ที่คล้ายกรุงเทพฯหรือเมืองใหญ่ ๆ มากขึ้น ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สินค้าพรีเมี่ยม สินค้าไซซ์ใหญ่ มียอดขายเติบโตขึ้น

“สินค้าที่พรีเมียมขึ้น นอกจากจะช่วยสร้างการเติบโตของยอดขายแล้ว อีกด้านหนึ่งสินค้ากลุ่มนี้ยังมีมาร์จิ้นหรือกำไรที่สูงกว่าสินค้ากลุ่มปกติด้วย” แหล่งข่าวกล่าวและว่า

นอกจากการเพิ่มน้ำหนักในการทำตลาดสินค้าพรีเมี่ยมเพื่อเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อแล้ว อีกด้านหนึ่งซัพพลายเออร์หลาย ๆ รายก็ให้ความสำคัญกับสินค้าไซซ์เล็ก หรือสินค้าชนิดซอง หรือซาเช่ เพื่อให้สอดรับกับกำลังซื้อผู้บริโภคที่ลดลงและเน้นไปซื้อไซซ์เล็ก ราคาประหยัด หากสังเกตจะเห็นได้ว่า ปัจจุบัน สินค้าหลาย ๆ แบรนด์ได้ลอนช์สินค้าชนิดซอง ราคา 10-25 บาท ออกมาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ การ์นิเย่ (ลอรีอัล) พอนด์ (ยูนิลีเวอร์) นอกจากจะเน้นการวางจำหน่ายผ่านร้านค้าที่เป็นเทรดิชั่นนอลเทรด หรือร้านโชห่วย ร้านค้าปลีกตามชุมชนต่าง ๆ แล้ว ยังปูพรมไปตามร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ ด้วย เพื่อทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังทำให้เกิดการทดลองสินค้าเพิ่มขึ้น