TPBI ขนสินค้าใหม่เติมพอร์ตรับรักษ์โลกแรง

“ทีพีบีไอ” จัดทัพรับเทรนด์กระแสรักษ์โลกมาแรง เพิ่มน้ำหนักทีมอาร์แอนด์ดี เพิ่มความหลากหลายสินค้า-ผลิตภัณฑ์ ทยอยขนสินค้าใหม่เสริมพอร์ต ล่าสุดส่งถุงพลาสติกความหนา 5 เท่า ชูจุดเด่นทน ใช้ซ้ำได้หลายครั้ง ตอบโจทย์ลูกค้า ชูโครงการ “วน” ให้ความรู้เกี่ยวการแยกขยะ ประกาศเดินหน้าเจาะตลาดใหม่ ขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ


นายกมล บริสุทธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ทีพีบีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ TPBI ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกรายใหญ่ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันกระแสความตื่นตัวของผู้บริโภคในเรื่องการลดใช้ถุงพลาสติกเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกำลังมาแรงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ความต้องการถุงพลาสติกหูหิ้วแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งลดน้อยลง และเปลี่ยนไปเลือกใช้ถุงที่สามารถใช้ได้หลายครั้ง อาทิ ถุงพลาสติกหูหิ้วแบบหนา หรือถุงกระดาษมากขึ้น โดยผลจากการรณรงค์เพื่อลดขยะพลาสติกมาเป็นระยะ ๆ และล่าสุด ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีเห็นชอบมาโรดแมปการลดขยะพลาสติก โดยห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ จะงดการแจกถุงแก่ลูกค้า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ทำให้ตลาดถุงพลาสติกได้รับผลกระทบและอยู่ในภาวะชะลอตัว

ขณะเดียวกันในแง่ของกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยที่ผลิตและจำหน่ายถุงหูหิ้วเป็นรายได้หลักจะต้องปรับตัว ด้วยการเฟ้นหาเทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ เช่น การพัฒนาให้ถุงพลาสติกสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ หรือเดินหน้าเพิ่มไลน์สินค้าบรรจุภัณฑ์ใหม่ ๆ อาทิ ถุงผ้า และถุงกระดาษ เพื่อสร้างรายได้ทดแทนถุงพลาสติกที่ได้รับความนิยมลดลงเรื่อย ๆ

สำหรับทีพีบีไอได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย จากการคิดค้นของทีม R&D เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับการใช้งานของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รวมถึงการนำนวัตกรรมเข้ามาพัฒนาถุงพลาสติกให้มีความหนา 5 เท่า มีจุดเด่น คือ ความทน แข็งแรง ใช้งานสะดวก และสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้หลายรอบ รวมถึงจะเน้นเจาะตลาดในกลุ่มประเทศใหม่ ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้า ควบคู่กับโครงการ “วน” เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับแยกขยะกับผู้บริโภค โดยบริษัทจะเป็นผู้จัดตั้ง จุดรับซื้อถุงพลาสติก 70 จุดทั่วประเทศ เพื่อนำถุงพลาสติกเหล่านั้นกลับมารีไซเคิลเพื่อนำกลับมาใช้ซ้ำ

นายกมลกล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับตัวมาเป็นระยะ ๆ ด้วยการเพิ่มไลน์สินค้าอื่น ๆ เข้ามาเสริมพอร์ตธุรกิจ เช่น ถุงขยะ ซองไปรษณีย์สำหรับส่งสินค้าต่าง ๆ ถุงสำหรับใส่ผลไม้และผัก เป็นต้น โดยได้ปรับรูปแบบของผลิตภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ปัจจุบันมีสินค้า 4 กลุ่มหลัก ๆ ประกอบด้วย 1.กลุ่มสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป ได้แก่

ถุงพลาสติกประเภทต่าง ๆ อาทิ ถุงหูหิ้ว ถุงพลาสติกประเภทใช้ซ้ำ ถุงพลาสติกสำหรับบรรจุอาหารและถุงขยะ 2.กลุ่มบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น อาหารสำเร็จรูปและอาหารแช่แข็ง รวมถึงฟิล์มประเภทต่าง ๆ เช่น ฟิล์มลามิเนต ฟิล์มแบริเออร์ ฟิล์มหุ้มและฟิล์มหด 3.กลุ่มบรรจุภัณฑ์กระดาษ ได้แก่ แก้วกระดาษ ถ้วยกระดาษทั้งแบบเคลือบพลาสติก หรือเคลือบด้วยพลาสติกชีวภาพ ที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และถุงกระดาษ 4.กลุ่มธุรกิจซื้อมาขายไป ได้แก่ ถุงปอสาน ถุงพลาสติกสาน เป็นต้น โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก คือ โมเดิร์นเทรด ซูเปอร์มาเก็ต และร้านค้าสะดวกซื้อ

โดยบริษัทมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 61,000 ตันต่อปี หลัก ๆ จะเน้นการส่งออกถุงพลาสติกหูหิ้วและถุงขยะไปต่างประเทศ อาทิ อเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น รวมถึงยังมีตัวกลางนำเข้าหรือผู้ค้าส่งให้กับร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ในต่างประเทศ จะทำหน้าที่เป็นผู้สั่งผลิต จัดซื้อ และขนส่งสินค้าให้กับลูกค้าในตลาดต่างประเทศด้วย

ด้านตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันได้เน้นการทำตลาดในประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย อเมริกา ผ่านกลยุทธ์การขยายตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และการเข้าลงทุนในกลุ่มบริษัท Intelipac ที่ประเทศอังกฤษ และประเทศออสเตรเลีย รวมถึงการขยายกำลังการผลิตโรงงาน Flexible Packaging เมื่อปีที่แล้ว จะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้รายได้ของบริษัทเติบโตได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม รายได้หลักมาจากการส่งออกและจัดจำหน่าย แบ่งเป็น ต่างประเทศ 60% และในประเทศ 40% ผลิตภัณฑ์หลักที่ส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ ได้แก่ ถุงพลาสติกหูหิ้ว ถุงขยะ และถุงแฟชั่น เป็นต้น

สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 3 ปี 2562 บริษัทมีรายได้รวม 1,286 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปี 2561 ส่วนใหญ่มาจากการยอดขายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ถุงขยะที่มีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 422 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่มียอดขายประมาณ 332 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายจากผลิตภัณฑ์ถุงหูหิ้วประเภทใช้ครั้งเดียวลดลงเหลือประมาณ 157 ล้านบาท จากเคยมียอดขายประมาณ 229 ล้านบาท หรือลดลงกว่า 71 ล้านบาท