“เนสท์เล่” ลุยกาแฟมะกัน ปิดดีลร้านไฮเอนด์…เสริมทีม

คอลัมน์ Market MOVE

กระแสนิยมร้านกาแฟสเปเชียลตี้ หรือร้านกาแฟที่มีความพิเศษ กลายเป็นคลื่นลูกใหม่ที่ดึงดูดทั้งคอกาแฟหน้าเก่าและหน้าใหม่ให้ไปลิ้มลอง แต่การสู้กับร้านเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การใช้เงินซื้อธุรกิจที่ติดตลาดอยู่แล้ว จึงดูจะเป็นทางเลือกที่รวดเร็วกว่า

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า “เนสท์เล่” ได้ทุ่มงบฯ 425 ล้านเหรียญสหรัฐ ซื้อหุ้น 68% ของ “บลู บอตเทิล” (Blue Bottle) เชนร้านกาแฟระดับไฮเอนด์อายุ 15 ปี ซึ่งมีจุดเด่นที่ใช้เมล็ดกาแฟคั่วสดใหม่ไม่เกิน 48 ชั่วโมง และวิธีชงหลากหลายพร้อมคำแนะนำเชิงลึก

สำหรับผู้ที่ซื้อกลับไปชงเอง รวมถึงการตกแต่งร้านสไตล์เรียบง่าย ตอบโจทย์คอกาแฟระดับฮาร์ดคอร์ และกลุ่มมิลเลียนเนียล โดยสิ้นปีนี้จะมีสาขา 55 แห่งในสหรัฐ เพิ่มจาก 29 แห่งในปีที่แล้ว แสดงถึงโมเมนตัมการเติบโตแบบก้าวกระโดด

โดย “มาร์ค ชไนเดอร์” ซีอีโอของเนสท์เล่ ได้ให้เหตุผลของเรื่องนี้ว่า ปัจจุบันกาแฟถือเป็นเซ็กเมนต์ที่บริษัทมีโอกาสเติบโตได้มากที่สุด และสหรัฐเป็นตลาดกาแฟใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ดังนั้นการซื้อกิจการบลู บอตเทิล จะช่วยให้สามารถขยายฐานในสหรัฐได้แบบก้าวกระโดดจากทั้งเครือข่ายร้านและฐานลูกค้า รวมถึงยังได้ช่องทางขายในโฮลฟู้ด ซึ่งบลู บอตเทิล วางขายกาแฟพร้อมดื่มอยู่แล้ว เสริมกับธุรกิจเครื่องชงกาแฟ “เนสเพรสโซ” ที่ยังตามหลังเจ้าตลาดอย่าง “คูริก” (Keurig) อยู่

ทั้งนี้ บลู บอตเทิล จะยังมีอิสระในการดำเนินธุรกิจ และยังไม่มีแผนปรับเปลี่ยนผู้บริหาร รวมถึงพนักงาน โดย “ไบรอัน มีแฮน” ซีอีโอ และ “เจมส์ ฟรีแมน” หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ จะยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมต่อไป

สอดคล้องกับความเห็นของนักวิเคราะห์ที่มองว่า ดีลนี้ถือว่าวิน-วินทั้ง 2 ฝ่าย โดยเนสท์เล่ได้รุกตลาดสหรัฐ ส่วนบลู บอตเทิล ได้แหล่งเงินมหาศาลสำหรับขยายสาขา และโนว์ฮาว

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ประเมินว่า เรื่องนี้ยังมีความท้าทายอยู่ นั่นคือภาพลักษณ์การเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ bข้ามชาติเนสท์เล่เองซึ่งตรงข้ามกับบลู บอตเทิลโดยสิ้นเชิง อาจทำให้แบรนด์สูญเสียความเป็นสเปเชียลตี้ไป จนทำให้ลูกค้าลดลง และยังมีความเสี่ยงด้านการบริหาร เห็นได้จากครั้งที่สตาร์บัคส์ตัดสินใจปิดร้านเบเกอรี่

“ลา บูลาจ” (La Boulange) หลังซื้อกิจการมาได้ไม่นาน ด้วยเหตุผลว่าไม่สามารถทำกำไรได้

ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า เนสท์เล่จะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป