“โคคากรุ๊ป” แตะเบรกขยายสาขารุกดีลิเวอรี่เพิ่มรายได้

พร้อมลุย - โคคา กรุ๊ป มีแผนพัฒนาร้านอาหารโมเดล Grab & Co เน้นเปิดในสนามบินและสถานีรถไฟ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในยุคนิวนอร์มอล

“โคคา กรุ๊ป” ชี้ตลาดร้านอาหารแข่งเดือด กระหน่ำโปรฯดึงลูกค้า เร่งปรับตัวสู้พิษโคววิด-19 ประกาศเน้นบริหารต้นทุนหลังพื้นที่ขายในร้านลดลง 50% ผลพวงของการเน้นรักษาระยะห่าง ย้ำไม่ผลักภาระให้ลูกค้า ประกาศชะลอแผนขยายสาขาจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพิ่มน้ำหนักดีลิเวอรี่ ชูคอนเซ็ปต์ยกหม้อสุกี้ส่งตรงถึงบ้าน ทุกเมนูจะถูกปรุงขึ้นสด ๆ จากเชฟมืออาชีพ พร้อมนำโมเดลจากเมืองไทยไปประยุกต์ใช้กับ 20 สาขาในต่างประเทศ ตั้งเป้าสิ้นปีโต 20%

นางสาวนัฐธารี พันธุ์เพ็ญโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท โคคา โฮลดิ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เจ้าของร้านอาหารโคคาสุกี้ และแม็งโก้ทรี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจากรัฐบาลปลดล็อกระยะที่ 3 ให้ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าต่าง ๆ ภายในศูนย์เปิดให้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารมีการแข่งขันที่สูงขึ้น หากสังเกตจะเห็นว่าขณะนี้ผู้ประกอบการร้านอาหารทั้งรายเล็ก-รายใหญ่เร่งกระหน่ำแคมเปญและโปรโมชั่นลดราคากันอย่างหนัก ทั้งช่องทางขายที่เป็นหน้าร้าน (ออฟไลน์) ออนไลน์ และเป็นโปรโมชั่นที่ยิงยาวตลอดทั้งสัปดาห์ เพื่อเรียกลูกค้าเข้าร้าน เพิ่มทราฟฟิกเพื่อพยายามดึงยอดขายให้กลับมาให้เร็วสุด

เช่นเดียวกับร้านอาหารโคคาฯกลับมาเปิดให้บริการทั้งหมด 8 สาขา ทั้งในรูปแบบสแตนด์อะโลน และสาขาภายในห้าง นอกจากเพิ่มความเข้มงวดด้านมาตรการความปลอดภัย เช่น การวัดอุณหภูมิ หน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ ที่ใช้ทำความสะอาดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และหลังจากกลับมาเปิดให้บริการได้ 3 สัปดาห์ พบว่าจำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในร้านอาจยังไม่มากนัก เนื่องจากยังไม่มั่นใจและยังมีความตื่นกลัว หลายคนอาจยังคุ้นชินกับการรับประทานอาหารที่บ้าน นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของกำลังซื้อในภาพรวมที่ไม่ดีนัก ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายมากขึ้น ซึ่งคาดว่าอาจจะลากยาวไปถึงไตรมาส 4

ส่วนร้านแม็งโก้ทรี ร้านอาหารไทยแนวไลฟ์สไตล์อีกหนึ่งแบรนด์ในพอร์ตของบริษัท มีร้านทั้งหมด 50 สาขา ขณะนี้ยังไม่เปิดให้บริการเนื่องจากต้องรอภาครัฐประกาศผ่อนปรนให้จำหน่ายแอลกอฮอล์ในร้านได้ และจะเริ่มทยอยเปิดให้บริการภายใต้มาตรการความปลอดภัยของภาครัฐอย่างเข้มงวด

สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังนี้ สิ่งสำคัญที่ต้องทำคือ การเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) ทำให้พื้นที่ในร้านหายไปกว่า 50% สิ่งที่ตามมาคือ ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ทั้งต้นทุนวัตถุดิบ ค่าจ้างพนักงาน ค่าเช่าพื้นที่ ฯลฯ คาดว่าจะส่งผลกระทบกับรายได้รวม ดังนั้น บริษัทจะต้องบริหารจัดการต้นทุนคอสต์ต่าง ๆ อย่างรัดกุม โดยจะไม่มีการปรับเพิ่มราคาเพื่อผลักภาระให้ลูกค้า และได้เข้าไปหารือกับเจ้าของพื้นที่เพื่อขอปรับลดค่าเช่า รวมถึงปรับเปลี่ยนตารางการทำงานของพนักงานให้เวียนเวลาเข้างานเป็นกะ จากเดิมพนักงานในร้านจะทำงานฟูลไทม์เต็มเวลา ส่วนด้านระบบโลจิสติกส์ปัจจุบันมีการขนส่งสินค้าวันต่อวัน ทำให้มีต้นทุนสูง ถ้าจะต้องมาลดคอสต์ตรงส่วนนี้ถือเป็นเรื่องยาก เนื่องจากยุทธศาสตร์ของร้านอาหาร

Advertisment

โคคาฯหลัก ๆ จะเน้นย้ำเมนูอาหารพรีเมี่ยมวัตถุดิบต้องมีคุณภาพ และมีความสดใหม่ทุกวัน

“จากนี้ไปการขยายสาขาใหม่ ๆ ต้องชะลอไว้ก่อน ทั้งโคคาสุกี้ และแม็งโก้ทรี หลังจากสถานการณ์กลับมาคลี่คลาย โคคา เรสเตอรองส์ เวิลด์ไวด์ ยังมีแผนพัฒนาร้านอาหารโมเดล Grab & Go เน้นเปิดในสนามบินและสถานีรถไฟ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในยุคนิวนอร์มอล ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาตลาด”

นางสาวนัฐธารีกล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาปกติโคคาฯจะไม่เน้นลด แลก แจก แถม หรือการทำโปรโมชั่น จะไม่เน้นเรื่องราคาเพราะต้นทุนค่อนข้างสูงและเป็นพรีเมี่ยม แต่เมื่อตลาดเปลี่ยน บริษัทก็ต้องปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ ล่าสุดจัดโปรโมชั่น อาทิ ชุดติ่มซำ ในช่วงสุดสัปดาห์ ลดราคา 30% ตามด้วยเมนูชุดอาหารสุกี้ ลด 30% เฉพาะวันพฤหัสบดีสำหรับสมาชิก โดยจะมุ่งสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายผ่านสื่อออนไลน์ อาทิ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และเว็บไซต์เป็นหลัก

ที่ผ่านมาการปิดสาขาในช่วงโควิด-19 ทำให้บริษัทหันมาโฟกัสช่องทางขายดีลิเวอรี่ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา และทำให้สัดส่วนยอดขายดีลิเวอรี่เพิ่มขึ้น 20% โดยจากนี้แม้หน้าร้านจะกลับมาเปิดให้บริการได้ แต่บริษัทก็จะยังให้น้ำหนักช่องทางขายดีลิเวอรี่ ชูคอนเซ็ปต์ยกหม้อสุกี้ถึงที่บ้านลูกค้า พร้อมเน้นความเป็นออริจินอลทุกเมนูจะถูกปรุงขึ้นสด ๆ จากเชฟมืออาชีพ จัดส่งดีลิเวอรี่โดยทีม “โคคาแมน” ที่เป็นพนักงานของบริษัท โดยจะคิดค่าจัดส่งตามระยะทางจริง และรายได้จากเงินค่าจัดส่งทั้งหมดจะมอบให้กับพนักงานจัดส่งของร้านเป็นการสร้างรายได้เสริมให้พนักงาน

Advertisment

“นอกจากนี้ บริษัทจะเริ่มนำโมเดลดีลิเวอรี่ไปใช้กับร้านโคคาฯในสาขาต่างประเทศด้วย โดยจะเริ่มต้นให้บริการในประเทศเวียดนามและมาเลเซีย 2 สาขา และต่อไปจะขยายการบริการเต็มรูปแบบจนครบ 20 สาขา ใน 7 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในปีนี้ ได้แก่ ประเทศไทย พม่า ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยตั้งเป้าการเติบโตเพิ่มขึ้น 20% ภายในสิ้นปีนี้”