“เมเจอร์” เร่งเสริมแอป-พันธมิตรรับโรงหนังฟื้น

“เมเจอร์” เชื่อธุรกิจโรงหนังลุ้นฟื้นตัว หลังสถานการณ์สหรัฐดีขึ้น ช่วยให้ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เตรียมเข้าฉายได้ไม่ติดโรคเลื่อน เร่งอัพเกรดแอปเป็นวันสต็อปเซอร์วิสทั้งซื้อตั๋ว-ป๊อปคอร์น หวังอาศัยความสะดวกกระตุ้นการจับจ่ายชิงความได้เปรียบ พร้อมเดินหน้าลดเคาน์เตอร์ขายตั๋วช่วยรัดเข็มขัดต้นทุน

นายนรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้ทิศทางธุรกิจโรงภาพยนตร์มีแนวโน้มที่ดีและมีโอกาสฟื้นตัว เนื่องจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่องเตรียมเข้าฉายเร็ว ๆ นี้ เช่น ก็อดซิลล่า ปะทะ คอง แบล็ควิโดว์ และฟาสต์แอนด์ฟิวเรียสภาคใหม่ ขณะเดียวกัน สถานการณ์การระบาดในสหรัฐอเมริกาที่เริ่มคลี่คลายและโรงภาพยนตร์เริ่มกลับมาเปิดบริการทำให้โอกาสที่ภาพยนตร์เรื่องใหม่ ๆ จะถูกเลื่อนฉายน้อยลงตามไปด้วย

“ตั้งแต่มีข่าวการฉีดวัคซีน ดีมานด์ของโรงหนังเริ่มกลับมา แต่ยังติดปัญหาเรื่องไม่มีภาพยนตร์ระดับแม็กเนตเข้าฉาย ทำให้วงการฟื้นตัวได้ยาก เพราะจำนวนผู้ชมจะพุ่งขึ้นทันทีหากมีภาพยนตร์ดี ๆ เข้าฉาย สะท้อนจากภาพยนตร์ อาทิ อีเรียมซิ่ง ที่ทำรายได้ถึง 200 ล้านบาท ช่วง ธ.ค.ปีที่แล้ว สะท้อนว่าคนไทยยังต้องการดูหนังอยู่”

สำหรับบริษัทเริ่มเดินหน้าแผนชิงความได้เปรียบและดีมานด์ในช่วงที่ธุรกิจฟื้นตัวกลับมา ด้วยการมุ่งเสริมจุดขายด้านความสะดวกของการจับจ่ายในโรงภาพยนตร์ ทั้งซื้อตั๋วหนัง ป๊อปคอร์น เครื่องดื่ม ฯลฯ ให้สูงที่สุด เพื่อกระตุ้นการจับจ่าย พร้อมเสริมแกร่งให้ธุรกิจด้วยการรัดเข็มขัดควบคุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ

รวมทั้งการอาศัยแอปพลิเคชั่นตัวใหม่ ซูเปอร์แอป ซึ่งจะรวมศูนย์แอปเดิมของเครือเมเจอร์ที่มี 3-4 แอปมาไว้ในที่เดียว รวมถึงสามารถซื้อสินค้า-บริการได้ทุกอย่าง และสามารถรับชำระเงินได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะโอน บัตรเครดิต-เดบิต และอาจรวมถึงเงินดิจิทัล นอกจากนี้ยังสามารถทำการตลาดแบบเซ็กเมนเตชั่น อาทิ ยิงโฆษณา-โปรโมชั่นไปยังกลุ่มคอหนังแอ็กชั่น เป็นต้น โดยเตรียมเปิดตัวเฟสแรกในช่วงไตรมาส 2 ด้วยฟังก์ชั่นบัตรเอ็มเจน เอ็มพาส การซื้อตั๋วและสินค้าต่าง ๆ จากนั้นจะทยอยอัพเกรดเพิ่มฟังก์ชั่นใหม่ ๆ ในเฟสต่อ ๆ ไป

“การซื้อตั๋วหนังผ่านแอปเป็นที่เทรนด์มาแรง สะท้อนจากสถิติการซื้อตั๋วหนังในจีนนั้น 70% มาจากแอป ส่วนในไทยไปในทิศทางเดียวกัน หลังจำนวนผู้ชมที่ซื้อตั๋วผ่านเคาน์เตอร์เหลือเพียง 10% ส่วนตู้อัตโนมัติ 80% แอป 10% ขณะเดียวกันแต่ละปีคนไทยยังซื้อตั๋วหนังเฉลี่ย 0.5 คนเท่านั้น สะท้อนถึงทิศทางและโอกาสการเติบโต”

พร้อมกับเดินหน้ารัดเข็มขัดค่าใช้จ่าย โดยลดจำนวนเคาน์เตอร์ขายตั๋วหนังหรือบ็อกซ์ออฟฟิศและพนักงานประจำจุดนี้ลงเหลือ 1-2 คนต่อสาขา หลังจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สาขาเปิดใหม่ไม่มีหรือแทบไม่มีเคาน์เตอร์ขายตั๋วแล้ว มีเพียงตู้อัตโนมัติเท่านั้น ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายลงไปได้มาก ทั้งนี้ ตามแผนในอนาคตเครือเมเจอร์จะไม่มีบ็อกซ์ออฟฟิศแล้ว

เช่นเดียวกับการขยายธุรกิจป๊อปคอร์นเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม ด้วยการเพิ่มจุดวางจำหน่ายในช่องทางต่าง ๆ นอกโรงภาพยนตร์ต่อเนื่อง จากก่อนหน้านี้ที่่นำไปวางขายในเชนซูเปอร์มาร์เก็ตหลายราย รวมถึงบนแพลตฟอร์มดีลิเวอรี่ซึ่งเติบโตดีมากตั้งแต่ปี 2563

นอกจากนี้ยังเดินหน้าจับมือพันธมิตรจากธุรกิจอื่น ๆ มาเสริมทัพและต่อยอดฐานลูกค้า ล่าสุดจับมือกลุ่มผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล และคริปโทเคอร์เรนซี อาทิ ซิปเม็กซ์ และแรพิดซ์ เปิดให้ผู้บริโภคนำสกุลเงินดิจิทัลบิตคอยน์ มาแลกตั๋วหนังเป็นรายแรกในวงการโรงภาพยนตร์ของประเทศไทย เริ่มจากสาขารัชโยธิน เพื่อรับกระแสเงินดิจิทัลและสังคมไร้เงินสดที่กำลังมาแรง และดึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งสนใจด้านนี้มาเป็นลูกค้า โดยในอนาคตอาจต่อยอดความร่วมมือด้วยการรับสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ รวมถึงแชร์ฐานข้อมูลลูกค้ากับพันธมิตรทั้ง 2 ราย เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้นอีกด้วย