ส.ค้าปลีก จี้รัฐอัดฉีด 2 หมื่นล้าน หวนใช้ “ช้อปดีมีคืน” ดันเงินสะพัด 3-4 แสนล้าน

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย จี้รัฐบาลอัดฉีดงบประมาณ 1.5-2 หมื่นล้านบาท ลดหย่อนภาษี เร่งหวนใช้มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ไม้ตายสุดท้ายปลุกเศรษฐกิจโค้งท้าย หวังดันเม็ดเงินสะพัด 3.4 แสนล้านบาท

วันที่ 9 พศจิกายน 2564 ตามที่สมาคมผู้ค้าปลีกไทยได้มีการเสนอมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย และมีข้อเสนอให้นำ “ช้อปดีมีคืน” กลับมาใช้อีกครั้งในปีนี้ โดยได้มีหนังสือถึงรัฐบาลในเดือนกรกฎาคม 2564 และจากข่าวของคณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่สนับสนุนให้มีการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศผ่านกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงเช่นเดียวกัน

ทางสมาคมผู้ค้าปลีกไทยพร้อมผลักดันโครงการ “ช้อปดีมีคืน” ร่วมกับภาคเอกชน เพื่อนำไปสู่แมกเน็ตสำคัญที่จะดึงดูดคนในประเทศหันมาจับจ่ายใช้สอยอย่างคึกคักในช่วงไฮซีซั่นของปีนี้

ญนน์ โภคทรัพย์

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า “ในช่วงเริ่มต้นของโค้งสุดท้ายของปี เราเห็นการออกมาจับจ่ายใช้สอยของผู้คนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรเร่งเดินหน้าผลักดันมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นอย่างจริงจังและเร่งด่วน

ซึ่งช่วงสิ้นปีถือเป็นไตรมาสที่สำคัญที่สุดในการเร่งฟื้นฟู รวมทั้งเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะปลุกมู้ดให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยให้สะพัดขึ้นภายในประเทศ และผ่านกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงในโครงการช้อปดีมีคืน”

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย จึงขอเสนอให้รัฐนำโครงการ “ช้อปดีมีคืน” กลับมาใช้ในโค้งสุดท้ายของปี 2564 โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.ระยะเวลาตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน-31 ธันวาคม 2564 เพื่อนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้ของปี 2564

2.กลุ่มเป้าหมาย เป็นผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่สามารถลดหย่อนภาษีได้จำนวน 3.7-4.0 ล้านคนทั่วประเทศ โดยไม่มีการจำกัดเงื่อนไขและไม่จำกัดสิทธิกลุ่มที่เคยลงทะเบียนในมาตรการอื่น ๆ ของรัฐบาล อาทิ คนละครึ่ง และยิ่งใช้ยิ่งได้ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้มีผู้เข้าร่วมโครงการกว่า 1.5-2.0 ล้านคน

3.ขยายวงเงินเป็น 200,000 บาท จากเดิม 30,000 บาท (ในปี 2563) คาดการณ์เงินสะพัดรวมอยู่ที่ 3-4 แสนล้านบาท ส่งผลให้ GDP เติบโตขึ้นถึง 0.7-1.0%

ทั้งนี้ “ช้อปดีมีคืน” เป็นโครงการที่สามารถอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีมูลค่าสูงที่สุด โดยสามารถสนับสนุนการใช้จ่ายของผู้คนได้ตรงจุดในระยะเวลาอันสั้น โดยรัฐบาลใช้งบประมาณเพียง 15,000-20,000 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าลดหย่อนภาษี จึงถือเป็นบาซูก้าทางการคลังที่สามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบได้อย่างมหาศาลในระยะเวลาอันรวดเร็ว และใช้งบประมาณเพียงเล็กน้อย

อย่างไรก็ดีเชื่อว่า “ช้อปดีมีคืน” เป็นไม้ตายสุดท้ายของปีนี้ที่จะเร่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วและเร่งด่วน สร้างเม็ดเงินไหลเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย การกระตุ้น Local Consumption ผ่านกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงให้จับจ่ายใช้สอยจะเป็นกุญแจสำคัญและเป็นการเพิ่มเม็ดเงินโดยทันที เพราะเราไม่สามารถรอรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังเข้ามาในประเทศได้ไม่เต็มที่ โค้งสุดท้ายของปีนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด และเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนที่สุด