คริส เวลส์ ขับเคลื่อน “วอลโว่” เติบโตอย่างยั่งยืน

แบรนด์วอลโว่ รถยนต์เบอร์หนึ่งจากประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย อยู่คู่กับคนไทยมายาวนาน จุดขาย “ทุกชีวิตปลอดภัยในวอลโว่” ทำให้แบรนด์รถยนต์จากสวีเดนได้การยอมรับอย่างล้นหลาม เพียงแต่ระยะหลังคู่แข่งรถยนต์หรูฝั่งเยอรมนีมีความร้อนแรงเพิ่มมากขึ้น 

แต่ตลอดระยะเวลากว่าขวบปีที่ “คริส เวลส์” กรรมการผู้จัดการประจำ วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย เข้ามาปฏิบัติภารกิจเพื่อขับเคลื่อนรถยนต์ “วอลโว่” ผลงานปรากฏให้เห็นชัดว่าดีขึ้นทุกด้าน โดดเด่นแบบผิดหูผิดตา เป้าหมายการยกระดับแบรนด์วอลโว่ในประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนน่าจะอยู่แค่เอื้อม

Q : หนึ่งปีที่ผ่านมาวอลโว่เปลี่ยนไปเยอะ 

แน่นอน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรเริ่มตั้งแต่ “โปรดักต์” ซึ่งเป็นไปในทิศทางและสอดคล้องไปกับบริษัทแม่ที่ต้องการนำเสนอสินค้าใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดโกลบอลด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้นนโยบายที่ต้องการโฟกัสไปยังเทคโนโลยีและรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัย วอลโว่เราพยายามทำควบคู่กันไป และผลที่ออกมา คือ วอลโว่ได้แนะนำรถยนต์ปลั๊ก-อินไฮบริดออกสู่ตลาด และสามารถทำราคาขายได้ดีขึ้น และเรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาทุก ๆ ด้าน

Q : เป็นหนึ่งปีแห่งการพัฒนา 

วอลโว่เริ่มพัฒนาในทุกด้าน เริ่มตั้งแต่เครือข่ายการจัดจำหน่าย เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีที่สุด และการพัฒนา Volvo retail experience (VRE) ที่มีการปรับปรุงโชว์รูมและศูนย์บริการ สิ่งนี้เราต้องการให้สนองตอบความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด ตอนนี้ก็ทยอยปรับปรุงไปเรื่อย ๆ

Q : เปิดตัวเอ็กซ์ซี60 สะท้อนด้านใดบ้าง

เรามองว่านี่คือความสำเร็จที่สูงมากลูกค้าให้การตอบรับ ไม่เฉพาะแต่ประเทศไทย แต่เป็นเช่นเดียวกันกับวอลโว่ทั่วโลกตรงนี้ทำให้ลูกค้าอาจจะต้องใช้เวลาในการรอรับรถพอสมควร เนื่องจากเกิดความล่าช้าในกระบวนการผลิตและซัพพลายชิ้นส่วนบางตัว แต่เราพยายามทำงานกันอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้ลูกค้ารับรถในระยะเวลาที่สั้นที่สุด และเรานำบทเรียนจากตรงนั้นมาวางแผนเพื่อเตรียมรับมือกับการเปิดตัวเอ็กซ์ซี40 ในวันนี้ด้วย ภายใต้ระบบการจัดการที่เหมาะสม

Q : เคยเป็นดีลเลอร์มาก่อนช่วยอะไรได้เยอะ

ใช่ ก่อนหน้านี้ ผมเคยเป็นตัวแทนจำหน่ายวอลโว่ในอังกฤษมาก่อน ก่อนที่จะเข้ามาร่วมงานกับวอลโว่ ดังนั้น ทำให้มีใจในการดำเนินธุรกิจนี้พอสมควร จะเห็นว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ดูจากตัวเลขยอดขายของวอลโว่ดีขึ้น ก็ทำให้ดีลเลอร์เองกล้าที่จะลงทุนมากขึ้น

สำหรับวอลโว่แม้ว่าเราจะมีดีลเลอร์และโชว์รูมไม่มาก มีเพียง 11 รายเท่านั้น และยอมรับว่าที่ผ่านมาอาจจะมีบางรายที่มีการเปลี่ยนมือเปลี่ยนผู้ถือหุ้นไปบ้าง แต่จากแผนการขยายเครือข่ายที่ชัดเจนของเรา เชื่อว่าทุกอย่างมาถูกทาง

Q : แผนขยายเน็ตเวิร์กปีนี้

วอลโว่ต้องการทำแบบค่อยเป็นค่อยไป สิ่งสำคัญ ดีลเลอร์ต้องอยู่ได้ และต้องมีการเติบโตแบบสเต็ปบายสเต็ปและสอดคล้องกับยอดขาย เป้าหมายของเราภายใน 4 ปีจากนี้ จะมีโชว์รูมเพิ่มเป็น 2 เท่าตัว หรือ 22 แห่งทั่วประเทศมีทั้งมาจากส่วนของนักลงทุนรายเดิม และนักลงทุนหน้าใหม่ อีกสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือ การเคารพการตัดสินใจระหว่างกันและกัน วันนี้วอลโว่โอเพ่นให้กับนักลงทุนที่สนใจ ซึ่งถ้าเราคุยกันรู้เรื่อง สามารถปรับตัวเข้าหากันได้ เราก็พร้อมจับมือเดินไปด้วยกัน เพื่อทำให้งานเกิดคุณภาพ ทั้งงานขายและงานบริการหลังการขาย ไปตลอดทั้งวงจรของลูกค้า

Q : ถือเป็นการลงทุนระยาวสำหรับนักลงทุน

เราให้ความสำคัญกับแผนธุรกิจ และมองไปที่โอกาสทำกำไร นั่นหมายความจะต้องเป็นการช่วยเหลือ ร่วมกันระหว่างวอลโว่และดีลเลอร์ เรามั่นใจว่าภายใน 3 ปี จะได้เห็นการคืนทุน หรือให้ดีที่สุดควรเห็นผลในระยะเวลาปีครึ่ง ซึ่งมีความเป็นไปได้มาก ผมเคยเป็นดีลเลอร์ ทำแล้วมีกำไรเพราะให้ความสำคัญกับการวางแผนธุรกิจ

Q : ตลาดรถหรูเมืองไทยแข่งขันรุนแรง 

ใช่ และจะเห็นว่าตลอดเวลามีการใช้เงินลงไปในการทำตลาดของค่ายรถยนต์หรูค่อนข้างเยอะแต่สำหรับวอลโว่นั้น เรามีเงิน แต่ต้องยอมรับว่ายอดขาย และบริษัทของเรายังมีขนาดที่เล็กอยู่ นั่นเป็นโจทย์ที่ทำให้ต้องคิดว่า วอลโว่จะใช้จ่ายอย่างไร ในมุมที่ต้องใช้อย่าง “ฉลาด” ภายใต้แผนงานที่แน่นอน

ดังนั้น การวางกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ “แบรนด์” นั้นเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ

การแข่งขันของตลาดนี้ค่อนข้างรุนแรง จริง ๆ แล้วแทบไม่ได้เกิดประโยชน์ เมื่อผู้เล่นต่างดัมพ์ราคาลงไป เพื่อหวังผลที่ยอดขาย แต่วอลโว่เรามองไปถึงความยั่งยืนของแบรนด์ด้วย

Q : มองตลาดรถหรูในปีนี้อย่างไร

จากเดิมต้นปีเราคาดว่าตลาดกลุ่มนี้จะมีการเติบโตในระดับ 20% แต่วันนี้ผ่านมาค่อนทางแล้ว จะเห็นว่าตลาดมีทิศทางการเติบโตลดลง 14% วันนี้ตัวเลขเราอยู่ที่ 11-14% ทั้งปี ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ แต่ทั้งนี้ คงต้องรอดูว่าจะมีปัจจัยอะไรมาช่วยกระตุ้น โดยเฉพาะการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาด วอลโว่เองก็คาดหวังว่ารถใหม่จะช่วยทำให้ยอดขายเติบโต และเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดรถหรูโดยรวมด้วยเช่นกัน