“ฟูโซ่” เท 450 ล้านบาท ขึ้นไลน์ประกอบรถบรรทุกใหญ่ในไทย ยึดพื้นที่อีอีซีประเดิมคลอดโมเดลแรกปลายปีหน้า มั่นใจยอดขายปี”61 โตดับเบิล หลังเมกะโปรเจ็กต์ทำธุรกิจขนส่งคึก
นายไมเคิล เคมเปอร์ รองประธานอาวุโส หัวหน้าฝ่ายการตลาด การขายและการบริการลูกค้ารถบรรทุกในภูมิภาคเอเชีย ของมิตซูบิชิ ฟูโซ่ ทรัคแอนด์บัส คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า บริษัทได้ใช้งบประมาณมูลค่า 450 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงงานประกอบรถบรรทุกขนาดใหญ่ขึ้นในประเทศไทย โดยจะใช้พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รองรับการขยายตัว ทั้งนี้ บริษัทมองว่าประเทศไทยถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ และมีโอกาสเติบโตสูงสุดของภูมิภาคนี้
- กรมอุตุฯเตือน 6-11 พ.ค.นี้ ฝนตกหนักหลายพื้นที่ รวม กทม.และปริมณฑล
- ธ.ก.ส. เผย สินเชื่อดอกเบี้ยล้านละร้อย เหลือวงเงินกู้อีก 1.5 หมื่นล้าน
- กรมอุตุฯเตือน 6-12 พ.ค.นี้ ลมเปลี่ยนทิศ-แปรปรวน ฝนตกหนัก ท่วมฉับพลัน
สำหรับโรงประกอบรถบรรทุกฟูโซ่ดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 6,000-8,000 ตารางเมตร ในเบื้องต้นจะผลิตรถบรรทุกฟูโซ่เป็นหลัก ภายใต้กำลังผลิตสูงสุดที่ 4,000 คันต่อปี ซึ่งจะเป็นการรองรับความต้องการภายในประเทศไทยเป็นหลักก่อน ส่วนอนาคตจะผลิตเพื่อรองรับตลาดส่งออกหรือไม่นั้น ต้องรอดูแนวโน้มและทิศทาง รวมทั้งแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทด้วย
“เราต้องการเข้ามาตั้งโรงงานในประเทศไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ฟูโซ่ ในประเทศไทย หลังจากตลาดช่วงที่ผ่านมา ภาพลักษณ์ของแบรนด์และบริการหลังการขายของฟูโซ่นั้น ลูกค้าอาจจะยังไม่มั่นใจเท่าที่ควร” นายเคมเปอร์กล่าว
ตอนนี้ได้ทำเรื่องยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนไปยังบีโอไอด้วย และคาดว่าจะเริ่มเปิดไลน์ประกอบการราวไตรมาส 4 ของปี 2562 เป็นต้นไป โดยจะมีรถบรรทุกขนาดใหญ่ ฟูโซ่ รุ่น FJ 2528C ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เป็นโมเดลแรกปัจจุบันรถบรรทุกฟูโซ่ที่จำหน่ายนั้นเป็นการนำเข้ามาจากญี่ปุ่น และอินเดีย บริษัทได้ซัพพอร์ตด้านราคาจำหน่ายให้กับลูกค้า และเมื่อโรงงานเสร็จเรียบร้อย พร้อมผลิตรถบรรทุกออกมาจำหน่าย ก็จะทำให้ราคาไม่แตกต่างกันอย่างแน่นอน
“เราตั้งใจให้การบริหารงานรถบรรทุกไปในทิศทางเดียวกัน โดยในประเทศไทยดีซีวีทีจะบริหารทั้งแบรนด์ฟูโซ่ และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวยในพื้นที่ และการเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยถือเป็นตลาดหลักในยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจสู่ตลาดทั่วโลก ด้วยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของดีซีวีที ทำให้เรามีความมั่นใจที่จะขยายธุรกิจของเราที่นี่ด้วยการสร้างโรงงานประกอบรถบรรทุก โดยใช้ชิ้นส่วนในประเทศแห่งใหม่สำหรับตลาดในประเทศไทยโดยเฉพาะ”
ด้านนายซาช่า ริคาเน็ค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดมเลอร์ คอมเมอร์เชียล วีฮีเคิลส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือดีซีวีที เปิดเผยว่า บริษัทต้องการประสบความสำเร็จในประเทศไทย และมุ่งมั่นให้บริการลูกค้าในประเทศไทย โดยได้ดำเนินงานเป็นสเต็ป เริ่มจาก 1.การลงทุนก่อสร้างโรงงานประกอบรถบรรทุกโดยใช้ชิ้นส่วนในประเทศสำหรับตลาดในประเทศไทย
2.มุ่งหน้ารวบรวมธุรกิจรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งรวมถึงแบรนด์ฟูโซ่ และแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ภายใต้ชื่อ “ดีซีวีที” ตามกลยุทธ์ทางการตลาดของเดมเลอร์ทั่วโลก ด้วยกลยุทธ์การนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการที่เหนือกว่าแก่ลูกค้าในท้องถิ่น
นอกจากนี้ ยังเดินหน้าเพื่อเพิ่มเครือข่ายการจัดจำหน่ายและให้บริการหลังการขายรถบรรทุกทั้ง 2 แบรนด์อย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันมี 12 แห่งทั่วประเทศ จะเพิ่มเป็น 24 แห่งภายในปีนี้ ภายใต้รูปแบบของการขาย ทั้ง 1.จำหน่ายเพียงฟูโซ่แบรนด์เดียว หรือแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ เพียงแบรนด์เดียว หรือทั้ง 2 แบรนด์อยู่ในโชว์รูมเดียวกัน ซึ่งไม่ได้กำหนดตายตัว
ส่วนยอดขายปีนี้ บริษัทตั้งเป้าจะมียอดขายเพิ่มเท่าตัว จากปีก่อนขายได้ 191 คัน ส่วนปีนี้ผ่านมาแล้ว 8 เดือนฟูโซ่ขายไป 300 คันแล้ว และถึงสิ้นปี ตัวเลขที่ 400 คัน เป็นไปได้ค่อนข้างสูง
ขณะที่ตลาดรถบรรทุกโดยรวมปีนี้น่าจะมีความต้องการ 26,000 คัน เติบโตจากปีก่อน 25,000 คันเท่านั้น ซึ่งเป็นจากปัจจัยบวกของการผลักดันเมกะโปรเจ็กต์และอุตสาหกรรมขนส่งที่มีการเติบโต
นายฌาคส์ มิเชล ประธาน บริษัท วอลโว่กรุ๊ป ทรัคส์ เอเชีย และเจวีเอส เซลส์ จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดรถบรรทุกขนาดใหญ่ในช่วง 7 เดือน
ที่ผ่านมา โตถึง 11% มียอดขายจาก 8,800 คัน เพิ่มขึ้นเป็น 10,500 คัน ส่วนตลาดรถบรรทุกขนาดกลาง ก็ยังคงมีอัตราการเติบโตเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จากยอดขาย 4,200 คัน เป็น 4,700 คัน และรถบรรทุกขนาดเล็กมีการเติบโตลดลง ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่ายอดในช่วงที่ผ่านมามีการเติบโตกว่าเป้าหมายเดิมที่คาดไว้ ว่าจะโตเพียง 5% เท่านั้น
แต่ปรากฏว่าปัจจุบันยอดเพิ่มไปถึง 11% ซึ่งเป็นผลมาจากจีดีพีที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกเซ็กเตอร์ ทั้งภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้าง การส่งออก และการเกษตร ที่มีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนวอลโว่ กรุ๊ปนั้นคาดว่าจะมีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกับตลาดรถบรรทุกโดยรวม